ถ้าดวงตาของคุณมีโอกาสชื่นชมโลกได้เพียงสามวัน คุณอยากมองเห็นอะไรมากsที่สุด ?
คำถามนี้เคยถามเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งตาบอดและหูหนวกมาตั้งแต่กำเนิด เธอตอบไว้อย่างลึกซึ้งกินใจว่า
...ฉันเคยคิดบ่อยๆว่า คงจะดีไม่น้อย ถ้ามนุษย์เราตกอยู่ในสภาพตาบอดและหูหนวกสนิท ในเวลาสอง หรือสามวันในช่วงที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ ความมืดจะทำให้เห็นคุณค่าของความสว่างมากขึ้น และโลกเงียบจะสอนให้รู้จักชื่นชมเสียงต่างๆรอบตัว
เมื่อมีโอกาส ฉันมักจะทดสอบเพื่อนที่ตาดีว่าพบเห็นอะไรบ้าง ไม่นานมานี้ ฉันถามเพื่อนซึ่งกลับจากเดินเล่น ในป่า ว่าพบเห็นอะไรน่าสนใจบ้าง แล้วก็ได้คำตอบว่า
ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ
ฉันไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ที่เดินเล่นในป่าเป็นชั่วโมง แต่ไม่เห็นอะไรสะดุดตา ...
ส่วนฉันซึ่งมองไม่เห็นกลับรู้สึกว่า มีสิ่งน่าสนใจมากมายทั้งที่เคยแค่สัมผัส ฉันรู้สึกถึงลายเส้นงดงาม ของใบไม้ ฉันเคยลูบไล้ผิวเรียบลื่นของต้นเบิร์ชและเปลือกหยาบขรุขระของต้นสน เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ฉันชอบคลำไปตามกิ่งไม้ด้วยความหวังว่า จะได้สัมผัสตุ่มใบอ่อนอันเป็นสัญญาณว่า ธรรมชาติกำลัง ตื่นจากหลับใหลของฤดูหนาว
บางครั้งถ้าโชคดี ฉันจะค่อยๆ วางมือลงบนต้นไม้เล็กๆ และรับรู้ถึงแรงสั่นไหวของกิ่งไม้ว่านกกำลังขับขานอย่างมีความสุข
หัวใจฉันร่ำร้องบ่อยๆว่าปรารถนาจะเห็นสิ่งเหล่านี้ แค่สัมผัสฉันยังเป็นสุขถึงเพียงนี้ แล้วถ้าได้เห็นอย่างเต็มตาจะอิ่มเอมใจสักเพียงใด
ฉันลองนึกว่าอยากเห็นอะไรมากที่สุดถ้าดวงตาใช้การได้ปกติ แค่สามวันก็พอ...
ฉันจะแบ่งเวลาทั้งหมดเป็นสามส่วน วันแรก ฉันอยากเห็นรูปร่างหน้าตาของบุคคลที่มอบความเมตตา ปรานีแก่ฉันเสมอมา และทำให้ชีวิตมีค่าขึ้น ฉันไม่รู้ว่าการมองลึกผ่านดวงตาซึ่งเป็น หน้าต่างของหัวใจ เข้าไปยังก้นบึ้งของดวงใจจะเป็นอย่างไร
คนตาดีอย่างพวกคุณน่าจะพอใจที่สามารถเข้าถึงอารมณ์อันหลากหลายของผู้อื่นได้ง่ายและไวกว่า เพียงใช้สายตาเฝ้ามองท่าทางที่แสดงออกซึ่งบ่งบอกความรู้สึก แต่จะมีสักกี่คนที่ใช้ประสาทตาพินิจลงไปถึง จิตใจของคนรอบข้าง เกือบทุกคนสนใจเพียงลักษณะภายนอก และไม่เคยคิดจะพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งกว่านั้น....
หากคุณอยากพบความสุข ขอเพียงไม่มองข้ามความสำคัญของสิ่งต่างๆ รอบตัว หากเราสามารถมองหา ความสุขจากสิ่งที่มี ไม่วิ่งหาความสุข...จากสิ่งที่ไม่มี คงไม่ต้องมาเสียใจภายหลังว่า
...กว่าจะรู้ซึ้งถึงคุณค่า ต่อเมื่อเวลาต้องสูญเสียไป...
|