มีเศรษฐีคนหนึ่งมีสมบัติมหาศาล แต่เป็นคนตระหนี่ยิ่งนัก ท่านอยู่ตามลำพังกับภรรยา การกินการอยู่ อดๆ อยากๆ และไม่ยอมคบหาสมาคมกับใครเลย ไม่เคยทำบุญทำทาน เพราะกลัวหมดเปลืองเงิน ตัวเองก็กินแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดองทุกมื้อๆ นุ่งห่มด้วยผ้าเก่าๆ ไปไหนมาไหนก็เดินทางตลอด


วันหนึ่งเศรษฐีผู้นี้ไปธุระบ้านเพื่อนเศรษฐีด้วยกัน ภรรยาเขาหุงข้าวมธุปายาสบริโภค ซึ่งหุงด้วยน้ำผึ้ง มีรสวิเศษ และหอมหวาน เศรษฐีตระหนี่ได้กลิ่นหอมหวานข้าวน้ำผึ้งก็อยากกินยิ่งนัก แต่เมื่อเพื่อน ร้องเรียกให้กิน เขาก็ไม่ยอมกิน เพราะกลัวว่าในกาลต่อไป ถ้าเพื่อนไปเรือนตนก็จะต้อง หาให้กิน เป็นการตอบแทนบ้าง ซึ่งเป็นการหมดเปลืองแก่ตน
แล้วเศรษฐีตระหนี่ก็กลับเรือนตน ลงนอนเป็นไข้หนักเพราะความอยากกินข้าวมธุปายาส จนเหลือจะ อดกลั้น ภรรยาอ้อนวอนถามเท่าไรๆ เขาก็ไม่ยอมบอกง่ายๆ แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่า "ฉันอยากกินข้าว มธุปายาสจะตายอยู่แล้ว" ภรรยาก็บอกว่า "ท่านสามารถจะหุงข้างมธุปายาส เลี้ยงคนได้ทั้งเมือง แล้ว ทำไมท่านจะกินข้าวมธุปายาสไม่ได้ดิฉันจะหุงให้ท่านกินเอง"
เศรษฐีอยากกินก็อยากกิน แต่ก็อิดออดเพราะกลัวหมดเปลืองทรัพย์ในการนี้ ภรรยาจึงบอกว่า "ถ้ากลัวหมดเปลือง เราก็หุงกินแต่น้อยแค่พอกินกันสองคน" เศรษฐีนัยน์ตาลุกโพลง เอ็ดภรรยาว่า "เอ๊ะ! ก็เธอไม่ได้อยากกินนี่นา และจะกินด้วยทำไม" ภรรยาก็ตามใจสามี โดยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ดิฉัน ก็หุงให้กินเฉพาะท่านเถิด" แล้วนางก็จัดแจงตวงข้าว น้ำผึ้ง และนมเนย จัดหุงข้าวมธุปายาสขึ้น รวมทั้ง ใส่เครื่องปรุงต่างๆ มี ถั่ว งา เป็นต้น ตามวิธีการหุงข้าวนี้ ขณะนั้น พระอินทร์คิดจะดัดสันดานเศรษฐีตระหนี่ ท่านจึงชวนเทพบุตรลงไปช่วยกัน คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระมาตุลี พระปัญจสิขเทพบุตร แล้วเทพยดาทั้งห้าองค์ ก็แปลงกายเป็นพราหมณ์ มาขอ ข้าวมธุปายาสเศรษฐีบริโภคโดยพระอินทร์เข้ามาทำเป็นถามก่อนว่า "ทางไปเมืองพาราณสีไปทางไหน" เศรษฐีชี้ทางให้ แล้วบอกว่า "รีบไปเถิด อย่ามาที่นี่ เราจะหุงข้าวมธุปายาส" พระอินทร์ก็บอกว่า "ดีแล้ว เราจะได้ขอกินด้วย" เศรษฐีรีบพูดห้าม "อย่ากินเลย เราหุงน้อย นิดเดียวเท่านั้น" พระอินทร์บอกแนะว่า "ของมีน้อยก็ให้น้อย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ ได้ทำกุศลมีศรัทธา การที่ท่านจะกินแต่ผู้เดียวโดยไม่ให้ทาน บ้างนั้น ก็จะไม่มีความร่มเย็นเป็นสุขกายใจในกาลภายหน้า"
เศรษฐีได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงบอกว่า "พราหมณ์ผู้เจริญ ถ้อยคำที่ท่านกล่าวมานี้ดีนักหนา ท่านจงนั่งรอ อยู่ที่นี่เถิด แล้วเราจะหุงข้าวมธุปายาสแบ่งให้ท่านด้วย"
ต่อมาพระจันทร์ ก็เข้ามาพูดเศรษฐีว่า "ใคร บริโภคอาหารผู้เดียวโดยไม่ให้ทาน ไม่เรียกให้แขกบริโภคด้วย ท่านผู้นั้นจะไร้สุขในอนาคต ถึงมีทรัพย์ก็ ไร้ผล" เศรษฐีได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงบอกพระจันทร์แปลงว่า "พราหมณ์ผู้เจริญ ถ้อยคำที่ท่านกล่าวมานี้ ดีนักหนา ท่านจงนั่งรออยู่ที่นี่เถิด แล้วเราจะหุงข้าวมธุปายาส แบ่งให้ท่านด้วย"
แล้วพระมาตุลี พระอาทิตย์และพระปัญจสิขเทพบุตรก็ได้เข้ามานั่งรออยู่ด้วย โดยทำนองเดียวกันนี้ ทำ ให้เศรษฐีถอนใจใหญ่อย่างเป็นทุกข์ เพราะกลัวหมดเปลือง จนกระทั่ง ข้าวมธุปายาสที่หุงนั้นสุก และ ภรรยาเศรษฐียกกระทะข้าวนั้นลงจากเตาไฟ แล้วร้องบอก พราหมณ์ทั้งห้าว่า "ข้าวมธุปายาสสุกแล้ว ท่านจงเก็บใบไม้มาคนละใบเถิด จะได้ใช้ใส่ข้าวบริโภค" การที่ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะว่า บ้านเศรษฐี ตระหนี่มีชามใส่ข้าวบริโภคอยู่ใบเดียวเท่านั้น ภรรยาท่านเอง ก็ต้องรอจนท่านบริโภคเสร็จ นางจึงจะใช้ ชามใบนั้นใส่ข้าวบริโภคต่อ
แล้วพราหมณ์ทั้งห้า ก็เด็ดใบไม้ใบใหญ่โต มาคนละใบ
เศรษฐีเห็นดังนั้นก็ร้องว่า "โอ้โฮ! ใบไม้ใบใหญ่โต หนักหนาอย่างนี้ เราจะแบ่งข้าว มธุปายาสให้แก่ท่านได้ยังไง ท่านจงไปเด็ดใบไม้ใบน้อยๆ มาเถิด แล้วเราจะได้ตักแบ่งข้าวให้ท่าน คนละช้อนๆ"
พราหมณ์ก็เด็ดใบไม้ใบน้อยมาคนละใบ เศรษฐีจึงใช้ช้อนตักข้าวมธุปายาส ให้พราหมณ์คนละช้อนๆ จนครบห้า ข้าวก็ยังไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อยนิด ครั้นแล้วพราหมณ์ทั้งห้า ก็กลายเป็นเทพยดา มีพระวรกายสว่างรุ่งโรจน์ เศรษฐีเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง ตื่นตกใจ ถามว่า "ท่านเป็นอะไร"
"เราทั้งห้า คือ พระ อินทร์, พระจันทร์, พระอาทิตย์, พระมาตุลี และปัญจสิขเทพบุตร มาที่นี่เพื่อจะตักเตือนท่าน ไม่ใช่เพื่อ บริโภคข้าวมธุปายาสของท่าน ท่านเป็นเศรษฐีตระหนี่ มีทรัพย์มหาศาลก็ไม่ทำบุญกุศล เมื่อไรท่านตายไป ท่านก็ตายไป ก็จะไปเกิดในนรกอเวจี แต่ถ้าท่านทำบุญ ทำกุศล เมื่อตายไปท่านก็จะได้ไปเกิดใน สวรรค์เหมือนเรา เราทั้งห้า มาที่นี่ด้วยความกรุณาท่าน ปรารถนาให้ท่านทำบุญสุนทาน เพื่อท่านจะได้ไป บังเกิดในวิมาน"
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็เกิดมีจิตใจอ่อนโยน กล่าวว่า "ท่านเมตตาปรานีข้าพเจ้ามากยิ่งนัก จึงได้พากันมา แนะทางให้ข้าพเจ้าเลื่อมใสในการบุญการกุศล เพื่อจะให้ข้าพเจ้าไปบังเกิดในเบื้องบน" แล้วเศรษฐีก็ ตั้งจิตถือสัตย์ กล่าวคำปฎิญญาณว่าดังนี้ "ตั้งแต่บัดนี้ต่อไป แม้ข้าพเจ้าจะมีข้าวสักคำ ก็จะแบ่งเป็นทาน ก่อนครึ่งหนึ่งแล้วจึงจะบริโภค"
พระอินทร์ ก็ทรงบอกให้เศรษฐีรักษาศีลรักษาธรรมห้าประการคือศีลห้า แล้วพาเทพบุตร กลับไปยังเทวโลก ฝ่ายเศรษฐีก็ไปกราบทูลลากษัตริย์ออกบวชแล้วมอบทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น ให้ภรรยาเพื่อทำบุญ ทำทานโดยเต็มกำลังศรัทธา แล้วเศรษฐีก็ออกไปอยู่ป่าหิมพานต์เป็นฤาษี ที่ริมแม่น้ำอันเงียบสงัด ตราบจนท่านสิ้นชีพไปบังเกิดเป็นเทพบตุรในเทวโลก ได้สถิตย์ในวิมานทอง อันเรืองรองท่ามกลางความสุขนิรันดร