จะติจะชมใครสักทีต้องมีหลักการ

 
 

จะติจะชมใครสักทีต้องมีหลักการ
สภาพการณ์ 8 ประการของการติชม
มีให้ลองค้นหาคำตอบ

ศ.นพ.ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ

 

การจะใช้วิธีสรรเสริญหรือตำหนิ ไปชี้แนะนำการทำงานของผู้อื่นนั้นสมควรระมัดระวังมากทีเดียว หากไม่ได้ใช้วิธีการที่มีชั้นเชิงแล้ว ก็จะมีผลทำลายความสามารถของผู้อื่นในขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการฆ่าตนเองด้วย

เซนมักจะกล่าวถึงวิธีการอิสระที่จะดำเนินการยกย่อง ตำหนิ ตักเตือนอย่างกวดขัน ส่งเสริมให้หลงระเริง การให้หรือการช่วงชิง
กล่าวได้ว่าเมื่อพบกับความ สำเร็จหรือความล้มเหลวการใช้วิธี ใดอยู่ที่จิตสำนึกไม่ควรใช้ท่าทีที่ เหมือนตนเองปราศจากความผิด พลาดเอาแต่สั่งสอนตำหนิหรือ กล่าวว่าผู้อื่นอย่างเดียว การตำหนิผู้อื่นก็เหมือนกับการตำหนิตนเอง
หากตนเองไม่ตระหนักถึงความเจ็บปวด
ในการประณามตำหนิผู้อื่น ก็จะไม่บังเกิดผล
แห่งการตำหนิอย่างแท้จริง

 

ผู้สอนและผู้เรียนจะต้องยืนอยู่บนระดับเดียวกัน นี่คือเงื่อนไขข้อสำคัญทีเดียว

ทั้งหมดนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า การตำหนิผู้อื่นก็เหมือนกับการตำหนิตนเองหากตนเองไม่ตระหนัก ถึงความเจ็บปวดในการประณามตำหนิผู้อื่น ก็จะไม่บังเกิดผลแห่งการตำหนิอย่างแท้จริง

วิธีตำหนิสอนคนของเซนนั้นคือ จะต้องไม่ทำร้ายความนับถือตนเองของผู้อื่น โดยให้โอวาทในที่เงียบๆ ไม่มีคน หรือกล่าวยกย่องก่อนหรือสัก 7-8 ส่วน จึงกล่าวตำหนิอีก 2-3 ส่วนแล้วจะได้ผล
การตำหนิด่าว่าผู้อื่นก็เท่ากับการตำหนิด่าว่าตัวเองแต่ในขณะที่กล่าวยกย่องผู้อื่นนั้น จะต้องเป็นแต่การกล่าวยกย่องเขาไม่ใช่ถือโอกาสชมเชยตนเองไปด้วย

อาจารย์เซน ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสท่านหนึ่ง เนื่องจากมีผู้นับถือเลื่อมใสท่านมากจึงมีลูกศิษย์มาบวชเรียน ด้วยมากมายแต่ว่าจำนวนหนึ่งในกลุ่มลูกศิษย์นี้ กลับปีนข้ามรั้วกำแพงออกไปเสพสุขยังรมณียสถาน

เมื่อท่านอาจารย์ทราบเรื่องเข้า ก็รู้สึกละอายใจแทนพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ที่ตนอบรมสั่งสอนได้ไม่ดี กลางดึกคืนหนึ่ง ท่านได้นั่งสมาธิรอพวกเขาอยู่ตรงหน้ากำแพงที่พวกเขาปีนออกไป เมื่อพวกลูกศิษย์กลับเข้ามาในตอนดึก ขณะที่พวกเขากระโดดลงจากกำแพงเข้าสู่บริเวณวัดนั้น จึงเห็นอาจารย์นั่งสมาธิอยู่ทุกคนต่างก็ตะลึงหน้าซีดเผือด
ท่านเพียงแต่กล่าวว่า
"พวกเจ้าจงดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีอากาศข้างนอกในเวลากลางคืนเย็นยะเยือกนัก" พูดจบท่านก็กลับไปยังกุฏิของท่าน จากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครออกไปเที่ยวข้างนอกในเวลากลางคืนอีกเลย

วันหนึ่งพระองค์ทรงกล่าวกับพระสาวกทั้งหลายว่า
"เรามีลูกศิษย์อยู่มากมาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครสามารถบรรลุถึงสภาพจิตใจเช่น ฝานเท่อ ได้"
พระองค์ใช่จะกล่าวสรรเสริญ ฝานเท่อ ที่เขาปัดกวาดรักษาความสะอาดบริเวณรอบๆ วัดอยู่ทุกวัน แต่เป็นเพราะท่าทางของฝานเท่อ ได้เปล่งประกายพลังชีวิตที่มีอยู่แต่เดิมของคนเรา ซึ่งหาสิ่งอื่นใดทดแทนไม่ได้เลย พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญเขา

ไม่ใช่ยกย่องสรรเสริญที่ผลของการกระทำ แต่ยกย่องที่ความสามารถของเขาเช่นนี้ จึงจะสามารถทำให้ความสามารถของคนเพิ่มขยายขึ้น และเกียรติคุณของบุคลลก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย
แม้จะถูกสั่งให้ทำงานชนิดเดียวกัน คนหนึ่งถือว่างานเป็นของตนเองแล้ว ทำงานด้วยแรงขับเคลื่อน ด้วยความมาดมั่นเอาจริงเอาจัง ท่าทีเช่นนี้จะทำให้การทำงานราบรื่นและรู้สึกสนุกสนานในการทำงาน

แรงขับเคลื่อนนี้จะช่วยให้เขาทำงานได้ดี สนุกไปกับงานและมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง ให้บังเกิดความกระตือรือร้นในการงานไปด้วย ก่อให้เกิดคุณค่าที่แฝงอยู่

อีกด้านหนึ่ง หากในใจรู้สึกเกลียดชัง งานที่ได้รับมอบหมายแต่ก็จำเป็นต้องไปทำแล้วจะเกิดผลเช่นไร