ประชุมพระราชปุจฉา

 
 
 



พระราชปุจฉาที่ 6
ว่าด้วยความรู้ของพระโพธิสัตว์ในชาติก่อน

ว่าพระโคดมบรมโพธิสัตว์ เมื่อเป็นพระเวสสันดรก็ดี พระเมตไตรยโพธิสัตว เมื่ออยู่ในดุสิตก็ดี หรือเมื่อจุติมาเกิดในมนุษย์ก็ดี จะรู้พระองค์ว่าจะได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้าฤาไม่
ศักราช 1037 เถาะศก พระศรีศักดิ์ ฯ รับพระราชโองการสั่งให้เผดียงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ว่า พระสมณโคดมก็ดี พระเมตไตรยโพธิสัตวก็ดี ทั้ง 2 พระองค์นี้ เมื่อชาติเป็นพระมหาเวสสันดรนั้นก็ดี ยังรู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสเปนพระฤามิรู้
อนึ่งพระเมตไตรยโพธิสัตว์เมื่ออยู่ในดุสิตนั้น ยังรู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสเป็นพระฤามิรู้
อนึ่งพระเมตไตรยโพธิสัตว์ได้ตรัสเปนพระนั้นยังช้านานไป เมื่อจุติมาเกิดในมนุษย์นี้เล่า ยังจะรู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสเป็นพระฤามิรู้

 

แก้พระราชปุจฉาที่ 6
สมเด็จพระโฆษาจารย์ถวายพระพรว่า

ในโสทตฺตกีมหานิทานว่า พระสมณะโคดมเจ้า เมื่อเป็นพระบรมโพธิสัตว์นี้ มีจิตรยินดีในที่จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในประนิธานทั้ง 3 ประการ เมื่อมโนประนิธานทั้ง 7 อสงขัยนั้น ก็รู้ว่าอาตมาจะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ จึงเปล่งวาจาในประนิธานทั้ง 2 นี้ รู้แต่ว่าจะเปนพระพุทธเจ้าให้ได้สิ่งเดียวนั้น แลรู้ว่ายังช้านานสิ้นกาลเท่าใด จึงจะได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้านั้นมิได้รู้
อีกประการหนึ่ง จะรู้ว่าได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้าในกัลปนั้น ๆ ก็ดี ก็มิได้รู้ ต่อเมื่อกายวจีประนิธาน แลได้ทำนายในสำนักพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 24 พระองค์นั้น จึงรู้ว่าอาตมภาพได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นกัลปเท่านั้น ๆ ในภัทธกัลปนี้ ด้วยได้ฟังพุทธฎีกาตรัสทำนายนั้น จำเดิมแต่ได้ทำนายแล้วนั้น มิได้ลืมที่จะตรัสเปนพระพุทธเจ้า แม้นในชาดกทั้งปวงนั้นก็ดี ก็ยอมบำเพ็ญพระบารมีต่าง ๆ เพื่อจะตรัสเปนพระพุทธเจ้า แม้นบังเกิดในกำเนิดเปนเดียรฉาน ปานดุจเปนช้างฉัททันต์ แลให้งาเปนทานแก่โสณุดรนั้น ก็ปราถนาแก่สรรเพ็ชญดาญาณ แลพระโพธิสัตวเกิดในกำเนิดใด ๆ ก็ดี ย่อมรู้ว่าอาตมภาพจะเปนพระพุทธเจ้าทุก ๆ กำเนิด แม้นเกิดในตระกูลมิจฉาทิฐินั้นก็ดี แม้นได้คบหาด้วยปาปมิตรนั้นก็ดี แลได้เปนมิจฉาทิฐิแล้วก็ดี ก็ได้กระทำกรรมอันผิดตามตระกูลแห่งปาปมิตรนั้นแล้วก็ดี ครั้นเห็นโทษนั้นว่ามิชอบ ก็ย่อมกลับมาบำเพ็ญบารมีที่จะตรัสเปนพระพุทธเจ้านั้นดุจเดียว อันนี้เปนธรรมดาพระโพธิสัตวแล เมื่อเกิดเปนพระเวสันดรนั้น สมภารบริบูรณ์ถ้วนกำหนดแล้ว พระปัญญาแก่แล้วก็ยินดีในโพธิปาริจริยธรรม เหตุดังนั้น จึงรู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ ครั้นประสูติจากครรภ์ ก็ตรัสขอทรัพย์บำเพ็ญทาน เมื่อถึง 8 พระชัณษาทรงดำริจะให้อัชฌัติกทาน แลบริจาคพระราชทานวันละ 6 แสนทุกวัน แลช้างปัจจยนาคสัตตกมหาทาน แลบุตรบริจาคภริยาบิจาค นั้นก็ดี เปนอันสละมิได้คิดกินแหนง เหตุรู้ว่าจะได้ตรัสแก่สรรเพ็ชญดาญาณเปนอันเที่ยงแท้ จึงตรัสพระราชโองการว่าสรรเพ็ชญดาญาณนี้ เปนที่รักแก่อาตมายิ่งบุตรทานนั้นได้ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า
ประการหนึ่ง เมื่อทรงพระดำริห์ว่า จะฆ่าพราหมณ์ให้ตายนั้น จึงทรงพระดำริห์ว่า อาตมานี้เปนภายใน พระโพธิสัตวเจ้าทั้งหลาย แล้วจะฆ่าพราหมณ์ให้ตายนั้นมิควร
ประการหนึ่ง เมื่อขอพรคำรบ 8 ว่าอาตมานี้ ครั้นจุติจงไปบังเกิดในดุสิตสวรรค์ ครั้นลงมาจากดุสิดาสวรรค์ จงได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้าเถิด มีพระราชโองการตรัสทั้งนี้ เหตุว่าพระองค์จะได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้าจึงตรัสทั้งนี้
ประการหนึ่ง พระเมตไตรยโพธิสัตว์ เมื่อจะลงมาสร้างสมภารในมนุษย์โลกนี้ ก็รู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสเปนพระพุทธเจ้า ดุจพระสมณะโคดมนี้ดุจเดียว เหตุสมภารบริบูรณ์ 16 อสงไขยยิ่งแสนกัลป แล้วแลจะได้ตรัสในภัทธกกัลปนี้ แลชื่อว่าจิตรแห่งพระโพธิสัตวทั้งปวง ก็ย่อมผูกอยู่ในที่จะเอาสรรเพ็ชญดาญาณให้ได้ มิได้คิดถอยหลัง แม้นจะไหม้อยู่ในนรกสิ้น 4 อสงไขยยิ่งแสนกัลปก็ดี ก็จะเสวยทุกข์นั้นและจะเอาสรรเพ็ชญดาญาณให้ได้
ประการหนึ่ง แม้มีผู้บอกว่า ผู้ใดจะเปนพระพุทธเจ้า ผู้นั้นเหยียบเท่ารึงก็ดีเหยียบถ่านเพลิงก็ดี เหยียบภูเขาอันสุกเปนเปลวก็ดี ลุยน้ำทองแดงดุจโลหกุมภีนรกนั้นก็ดี เหยียบกรวดอันลุกเปนเปลวก็ดี หนามก็ดี คมกรดก็ดี เต็มทั้งแสนโกฏิจักรวาฬนั้นไปได้ไซ้ ผู้นั้นจึงจะได้เปนพระพุทธเจ้า แลพระโพธิสัตว ก็มิได้กลัวทุกข์นั้น ก็จะเหยียบทั้งปวงนั้นไปให้ได้ จิตรพระโพธิสัตวทั้งปวง ก็ย่อมเปนอันมั่นคงดุจนี้ เหตุดังนี้ จึงมิได้ลืมในที่จะเปนพระพุทธเจ้านั้น แล ฯ

 

พระราชปุจฉาที่ 7
ว่าด้วยทศพลญาณ

แก้พระราชปุจฉาที่ 7 (ความที่ 1)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ขอถวายพระพร ฯ ด้วยเนื้อความทศพลญาณสูตร อันพระพุทธเจ้าตรัสเทศนา แก่พระสาริบุตรเถรนั้น เปนพิศดารกว้างขวาง แลอาตภาพถวายแต่โดยสังเขป ตามวารพระบาฬีว่า
"ฐานญฺจ ฐานโต อฐานญฺจ อฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติ" ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ "ฐานญฺจ" ซึ่งธรรมอันเปนเหตุเปนปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลาย ฯ "ฐานโต" โดยอันเปนเหตุเปนปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลาย "ตถาคโต" อันว่าตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "อฐานญฺจ" ซึ่งธรรมอันมิได้เปนเหตุเปนปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลาย "อฐานโต" โดยอันมิเปนเหตุเปนปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลาย อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนประถม ฯ
"กมฺมสมาฑานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาติ" ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ "วิปากํ" ซึ่งวิบาก "กมฺมสมาทานานํ แห่งกรรมอันบุทคลทั้งหลาย ถือเอาแล้วแลกระทำ "ฐานโส เหตุโส" โดยฐานะแลโดยเหตุ อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 2 ฯ
"สพฺพตฺถคามินีปฏิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติ" ฯ ตถาคโต อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ "สพฺพตฺถคามินีปฏิปทํ" ซึ่งอันประฏิบัติอันมีปรกติ จะไปในในคติทั้งปวง มีทุคติแลสุคติเปนอาทิ อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 3 ฯ
"อเนกธาตุ นานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ปชานาติ" ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูต" โดยอันมีแท้ "อเนกธาตุ นานาธาตุโลกํ" ซึ่งขันธโลกอันมีธาตุต่างๆ มีอาทิคือจักษุธาตุ อันนี้ชื่อทศพลญาณเป็นคำรบ 4 ฯ
"สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกํ ยถาภูตํ ปชานาติ" "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ "นานาธิมุตติกํ" ซึ่งอธิบายอธิมุตต่าง ๆ คือหีนาธิมุตแลปณีตาธิมุติ "สตฺตานํ" แห่งสัตว์ทั้งหลาย อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 5 ฯ
"ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินทริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ปชานาติ"ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ "อินทริยปโรปริยตฺตํ" ซึ่งสภาวะอันเจริญ แลถอยแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย มีอาทิคือศรัทธา "ปรสตฺตานํ" แห่งสัตว์ทั้งหลายหมู่อื่น "ปรปุคฺคลานิ" แห่งบุคคลทั้งหลายหมู่อื่นจากกัน อันชื่อทศพลญาณเป็นคำรบ 6 ฯ
"ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สงฺกิเลสโวทานวุฏฺฐานํ ยถาภูตํ ปชานาติ" ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "ยถาภูตํ" โดยอันมีแท้ สงฺกิเลสโวทานวุฏฺฐานํ" ซึ่งสภาวะอันจะเสร้าหมอง แลอันบริสุทธิ์แลอันจะออก "ญานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ" แห่งญาณทั้งหลาย 4 แลวิโมกข์ 8 แลสมาธิ 3 แลสมาบัติทั้งหลาย 9 วันนี้ชื่อทศพลญาณคำรบ 7 ฯ
"อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ" ฯ "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "อนุสฺสรติ" รฤก "ปุพฺเพนิวาส" ซึ่งขันธสันดานอันเปนที่อยู่แล้วแต่ในกาลก่อน "อเนกวิหิตํ" อันมีประการเปนอันมาก อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 8 ฯ
"ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกกนฺตมานุสฺสเกน สตฺเต ยถากมฺมูปเค ปชานาติ" "ตถาคโต" อันว่าพระตถาคต "ปชานาติ" ตรัสรู้ "สตฺเต" ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย "ยถากมฺมูปเค" อันควรแก่กรรม "ทิพฺเพน จกฺขุนา" ด้วยทิพยจักษุ "วิสุทฺเธน" อันบริสุทธิ์ "อติกนฺตมานุสฺสเกน อันล่วงวิสัยแห่งมนุษย์ อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 9 ฯ
"อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปฺปสมฺ ปชฺช วิหรติ" ฯ
"ตถาคโต" อันว่าพระคถาคต "สยํอภิญฺญา ตรัสรู้ด้วยสยัมภูญาณอันอุดม "สจฺฉิกตฺวา" กระทำให้แจ้ง "ทิฏเฐว"ธมฺเม" ในอาตมภาพอันเห็นปรตยักษ์ เมาะว่าในปัจจุบันกาล
"เจโตวิมุตฺตึ" ซึ่งอรหัตผล "อนาสวํ อันหาอาสวะมิได้ "ขยา" เหตุสิ้น "อาสวานํ" แห่งอาสวะทั้งหลาย อันนี้ชื่อทศพลญาณเปนคำรบ 10 ฯ
ทศพลญาณ 10 ประการจบเท่านี้ ฯ

 

แก้พระราชปุจฉาที่ 7 (ความย่อ)

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถวายวิสัชนาความที่ 1 ตั้งบาลีแปลเป็นข้อ ๆ ไปจนจบ 10 ประการ
พระธรรมไตรโลก ถวายวิสัชนาความที่ 2 ตั้งบาลีแต่น้อย และว่าเนื้อความมาก แล้วตอนท้ายถวาย วิสัชนาว่าทศพลญาณนี้ รู้แต่กิจแห่งตัวเองแต่ละสิ่ง ๆ ส่วนสัพพัญฺญุตญานนั้น รู้อารมณ์ทั้งปวงทั่วไป

 

พระราชปุจฉาที่ 8
ว่าด้วยโพธิปักขิยธรรม

 

แก้พระราชปุจฉาที่ 8 (ความที่ 1)

สัตตตีสโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ "จตฺตาโร สติปฏฺฐานา" คือสติปัฏฐานธรรม 4 ประการ
"จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา" คือสัมมัปปธานวิริยธรรม 4 ประการ" "จตฺตาโร อิทฺธิปาทา" คืออิทธิบาทธรรม 4 ประการ "ปญฺจินฺทฺริยานิ" คืออินทริยธรรม 4 ประการ "ปญฺจพลานิ" คือผลธรรม 5 ประการ
"สตฺตโพชฌงฺคานิ" คือโพชฌงค์ธรรม 7 ประการ "อฏฺฐงฺคิกฺมคฺคานิ" คืออัฏฐังคิกอริยมรรค 8 ประการ ธรรมทั้งนี้นับเข้าด้วยกันเป็น 37 ชื่อสัตตตีสโพธิปักขิยธรรม จบเท่านี้ ฯ

แก้พระราชปุจฉาที่ 8 (ความย่อ)

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถวายวิสัชนาความที่ 1 กล่าวแก้ ยกบาลี บอกแต่จำนวนย่อ ๆ
พระธรรมไตรโลก ถวายวิสัชนาความที่ 2 กล่าวแก้ ยกบลีแปลแจงจำนวนพิสดาร

พระราชปุจฉาที่ 9

ว่าด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนา มาประดิษฐานในปัจจันตประเทศ

แก้พระราชปุจฉาที่ 9 (ความที่ 1)

อนึ่ง ซึ่งเนื้อความว่าโสฬสมหานครนั้น เมื่อพระศาสนาจะสูญนั้น พระไตรปิฎกทั้งปวงจะสูญไปแห่งใดสิ้น จึงหาผู้ใดจะร่ำเรียนมิได้ เนื้อความนี้ขอพระราชทานงดก่อน พิจารณาดูบาฬีในคัมภีร์ให้แม่นมั่น จึงจะหมายเข้ามาถวายขอถวาย แต่ตามอาตมภาพพิจารณาด้วยปัญญานี้พลาง
เมื่อก่อนโสฬสมหานครนั้น มีพระสงฆ์อันกอปด้วยอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ย่อมทรงพระไตรปิฎกขึ้นใจทุก ๆ พระองค์ แลยังได้ไปเขียนพระไตรปิฎกใส่ไว้ในใบลาน เหตุนั้น กุลบุตรอันสืบมาภายหลังนี้บุญน้อย แลหาอุปนิสัยปัจจัยมิได้ แม้นถึงได้สดับฟัง เล่าเรียนในสำนักพระอาจารย์เจ้าก็ดี มิอาจเพื่อจะทรงพระไตรปิฎกไว้ดุจพระอาจารย์เจ้านั้น ครั้นพระอาจารย์เจ้านฤพานแล้ว พระไตรปิฎกในโสฬสมหานครอันตรธานไปด้วย คนทั้งหลายอันมีสมภาร จะถึงมรรคแลผลในโสฬสมหานครนั้น พระพุทธเจ้าโปรดสิ้นแล้ว เหตุนั้น พระสาสนาจึงมิได้ตั้งอยู่ในโสฬสมหานคร บุคคลทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยปัจจัยจะถึงมรรคผลนั้น ยังมีอยู่ในปัจจันตประเทศ พระสาสนาจึงมาตั้งอยู่ในปัจจันตประเทศ เพื่อจะสงเคราะห์ซึ่งคนผู้มีนิสัยปัจจัยอันเหลืออยู่ บุคคลผู้มีอุปนิสัยปัจจัย แลยินดีต่อพระสาสนาในที่อันใด พระสาสนาจึงมิได้ตั้งอยู่ในที่อันนั้น แลคนในโสฬสมหานครมิได้ยินดีในพระสาสนา พระสาสนาจึงมิได้ตั้งอยู่ในโสฬสมหานคร แลบุคคลทั้งหลายในปัจจันตประเทศนั้นยินดีต่อพระสาสนา พระสาสนาจึงตั้งอยู่ในปัจจันตประเทศ แลพระสาสนาในโสฬสนครจึงสูญสิ้นไป
ขอถวายให้ทราบพระญาณบารมี สมเด็จบรมบพิตร ฯ

แก้พระราชปุจฉาที่ 9 (ความที่ 2)

พระธรรมไตรโลก ขอถวายพระพรว่า สาสนาในมัชฌิมประเทศอันตรธานไป ด้วยพระมหากษัตริย์ อันเสวยราชสมบัติในมัชฌิมประเทศนั้น มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงประชาราษฎรทั้งปวง แตกฉานซ่านเซ็นออกไปประชุมในปัจจันตประเทศทั้ง 8 ทิศ แลสงฆ์ทั้งปวงผู้ทรงไตรปิฎกเปนวาจุคต ย่อมอาศรัยซึ่งจตุปัจจัยแห่งทายกผู้ศรัทธา จึงจะค้ำชูสาสนาได้ เมื่อมัชฌิมประเทศร่วงโรย สงฆ์จึงไปประชุมในปัจจันตประเทศ เหตุจะอาศรัยทายกอันมีศรัทธา ในกาลขณะนั้น พระไตรปิฎกยังไม่มิยกขึ้นสู่ใบลาน แลขันธสันดานแห่งโยคาวจรผู้ทรงไตรปิฎกนั้น ประดุจดังหีบอันใส่พระไตรปิฎก แลโยควจรหมู่นั้น ครั้นไปตั้งในปัจจันตประเทศ ได้ชื่อว่าพาเอาพระไตรปิฎกทั้งปวง ไปประดิษฐานไว้ในปัจจันตประเทศ แลกุลบุตรทั้งปวง ในปัจจันตประเทศนั้น ได้สิกขนาการพระไตรปิฎก แต่สำนักแห่งพระเถระทั้งปวงนั้น เปนปรัมปราภัตสืบ ๆ กันมา จึงพระสาสนารุ่งเรืองเปนอันมากในปัจจันตประเทศ แลมัชฌิมประเทศทั้งปวงจึงสูญไปด้วยประการดังนี้ ฯ

พระราชปุจฉาที่ 10

ว่าด้วยเหตุที่ห้ามมิให้บวชกะเทย

ความว่า เหตุไรจึงห้ามมิให้บวชกระเทย ? และพระอรหันต์นั้น เหมือนคนกระเทยหรือไม่ ?

แก้พระราชปุจฉาที่ 10 (ความย่อ)

(สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ?) ถวายวิสัชนาความที่ 1 ว่า พระพุทธเจ้าห้ามมิให้บวชคนกระเทยนั้น เพราะเหตุคนกระเทยเป็นอภัพพบุคคล มิควรจะได้มรรคได้ผล เหตุมีกิเลสกล้า พระอรหันต์ต่างกันกับคนกระเทย เพราะคนกระเทยไม่มีของลับ และยังมีราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหาและบาปธรรมทั้งปวง ส่วนพระอรหันต์นั้น ของลับยังคงมีอยู่ แต่ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหาและบาปธรรมทั้งปวงหามีไม่
พระธรรมไตรโลก ถวายวิสัชนาความที่ 2 ว่า มนุษย์ทั้งปวงเปนไตรเหตุกปฎิสนธิก็มี เปนทุเหตุกปฎิสนธิก็มี ทั้งสองพวกนี้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้บวชได้ ส่วนคนกระเทยนั้นเปนอเหตุกปฎิสนธิ พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้บวช และคนกระเทยนั้นยังมีราคะตัณหา มีความกำหนัดตามคดีโลก เหมือนมนุษย์ทั้งปวง ส่วนพระอรหันต์นั้นกิเลสราคะขาดหายไป จึงไม่เหมือนกัน