พุทธประวัติ

พระยกมปาฏิหารย์

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริจะกระทำพระพุทธปาฏิหารย์

ณ ต้นมะม่วง ที่พระองค์ประทาน เมล็ดให้นายคัณฑะปลูกรักษาไว้ ได้นามว่า คัณฑามพพฤกษ์ และด้วยพุทธานุภาพ ไม้มะม่วงนั้นก็เจริญงอกงาม บริบูรณ์ด้วยกิ่งก้านสาขา ใบและผลร่วงหล่นอยู่กลาดเกลื่อน ผู้คนทั้งหลายได้บริโภค

เห็นมีรสหวานอร่อยก็ชวนกันเก็บกิน และพากันโกรธแค้นพวกเดียรถีย์นิครนถ์ ที่พากันโค่นต้นมะม่วงที่มีอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด เมื่อทราบว่าพระบรมศาสดา จะทรงกระทำปาฏิหารย์ที่ต้นมะม่วง ฝูงชนได้ใช้เมล็ดมะม่วงขว้างปาพวกเดียรถีย์ วลาหกเทพบุตรบันดาลให้ลมพายุพัดมณฑปกระจัดกระจายทำลายลง พระอาทิตย์เวลาเที่ยงก็ส่องแสงแผดกล้า ทำให้พวกนิครนถ์หิวกระหาย บอบช้ำลำบากพากันหนีไปทั่วทุกทิศทาง

ครั้นเวลาบ่ายชายลง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มกระทำยมกปาฏิหารย์ มีพระอาการเป็นคู่ คือ เมื่อพระองค์ ทรงเหาะขึ้นไปในอากาศ เสด็จพระพุทธลีลาสด้วยปฐวีกสิณบริกรรม แล้วทรงนฤมิตพระพุทธนิมิตจงกรมไปมา บางครั้งทรงนั่งขัดสมาธิปุจฉา พระพุทธนิมิตนั่งขัดสมาธิวิสัชนา บางครั้งทรงไสยาสน์ พระพุทธนิมิตก็ไสยาสน์ เป็นต้น

ขณะนั้นโลกธาตุก็เกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว พระพุทธองค์ได้ทรงยังพระโอภาสให้แผ่ไปในหมื่นจักรวาฬ ทรงพิจารณาอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ทั้งปวง แสดงพระธรรมเทศนาโปรดให้ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน
พระพุทธเจ้าโปรดพระพุทธมารดา

เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จสวรรคตนั้น

เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารจำเริญวัยได้เพียง 7 วัน เมื่อพระนางสวรรคตแล้ว ได้ไปอุบัติ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต
เมื่อพระพุทธองค์ทรงปรารภจะเสด็จเยี่ยมพระพุทธมารดา จึงได้เสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพล ภายใต้ต้นปาริฉัตต์ แล้วทรงแสดงพระสัตตปกรณาภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา ซึ่งเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวสักกะเทวราชพร้อมทั้งเทพยดาในหมื่นจักรวาฬ ได้พร้อมกันมาประชุม ณ ที่นั้น เพื่อสดับพระธรรมเทศนา

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ตลอดไตรมาส

ครั้งนั้นพระพุทธมารดาพร้อมกับหมู่เทพยดา ทั้งหลายได้บรรลุอริยผล
พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์

ครั้นถึงวันอัสสยุชปุรณมี เพ็ญเดือน 11

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้ว
จึงตรัสแก่ท้าวสักกะเทวราชว่า พระองค์จะเสด็จลงสู่มนุษย์โลกในวันนี้ ท้าวสักกะเทวราชจึงได้นฤมิตบันไดทิพย์ ทั้งสามลงจากเทวโลก คือบันไดทองอยู่ทางขวา บันไดเงินอยู่ทางซ้าย บันไดแก้วอยู่ท่ามกลาง และเชิงบันไดทั้งสาม ลงมาที่พื้นปฐพีใกล้เมืองสังกัสสะ หัวบันไดจดยอดเขาสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งของดาวดึงส์พิภพ
บันไดทองเป็นที่ลงของหมู่เทพยดาที่ตามเสด็จ บันไดเงินเป็นที่ลงของหมู่พรหมทั้งหลาย บันไดแก้วเป็นที่เสด็จของพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ทรงประทับยืนเหนือบันไดแก้วท่ามกลางหมู่เทพ ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์อีกครั้ง ณ กาลบัดนั้น
พระพุทธเจ้าเปิดโลก

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์เทวโลก หลังจากได้ทรงเสด็จไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว พระองค์ได้เสด็จลงมายังมนุษยโลกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ณ เมืองสังกัสสะ พระองค์ได้แสดงอิทธิปาฏิหารย์ บรรดาลให้สรรพสัตว์มองเห็นกันและกัน ตลอดทั้งเทวโลก มนุษย์โลก และนรก นอกจากนั้นแม้แต่สัตว์ดิรัจฉานและคนตาบอด ก็สามารถมองเห็นพระพุทธองค์และบรรดาสัตว์เหล่านั้นต่างก็ ปรารถนาพุทธภูมิด้วยกันทั้งสิ้น

นางมาคันทิยากับพวกบริภาษพระพุทธองค์

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับที่นครโกสัมพี พระองค์ได้ยังประชาชนให้เลื่อมใสในพระธรรมเทศนา มีอนุปุพฬิกถา เป็นต้น ในหมู่ผู้เลื่อมใสนั้นมีพระนางสามาวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน พร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว ส่วนพระนางมาคันทิยา อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทนอีกองค์หนึ่ง ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ไม่พอใจในอดีตคือ เมื่อพระนางยังเป็นสาวอยู่นั้น

มาคันทิยพราหมณ์ผู้เป็นบิดาของพระนาง ได้ติดต่อเพื่อมอบพระนางให้เป็นพระชายา ของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ ไม่ยอมรับและทรงตรัสติเตียน

ฉะนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมายังนครโกสัมพี และมีพระนางสามาวดี เป็นพุทธอุปัฏฐาก พระนางมาคันทิยาจึงได้ว่าจ้างชาวเมืองและให้ข้าทาษกรรมกร ให้มาบริภาษพระพุทธองค์ ด้วยวัตถุเป็นเครื่องบริภาษ สิบประการคือ เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี และเจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว

เมื่อถูกบริภาษเช่นนั้น พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากทนไม่ไหว จึงได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ เสด็จไปสู่นครอื่น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมื่อเรื่องเกิดขึ้นที่ใดก็ควรให้สอบ ณ ที่นั้น เพราะถ้าไปสู่ที่อื่นและถูกบริภาษ ณ ที่นั้นอีก ก็จะต้องหนีเรื่อยไปหาที่สิ้นสุดมิได้

แล้วพระองค์ได้ตรัสพระคาถาธรรมเทศนาว่า เราจักอดกลั้นต่อถ้อยคำล่วงเกิน ดังช้างอดทนต่อลูกศร ที่ตกไปจากแล่งในสงคราม

เพราะคนเป็นอันมากเหล่านั้นเป็นผู้ทุศีล เมื่อพระองค์ประทับอยู่ต่อไปเรื่องร้ายก็สงบลง
พระพุทธเจ้าทรงทรมาน อาฬวกยักษ์ให้กลับเป็นสัมมาทิษฐิ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองอาฬวี พระเจ้าอาฬวีกษัตริย์ผู้ครองเมืองได้เสด็จออกล่าสัตว์ ถูกอาฬวกยักษ์จับพระองค์ได้และจะฆ่าเสีย พระองค์จึงทำสัญญากับยักษ์ว่า ถ้าปล่อยพระองค์ไป พระองค์จะส่งมนุษย์มาให้กินทุกวัน ยักษ์ก็ยอมตามนั้น

นับแต่นั้นมา พระเจ้าอาฬวีก็ทรงสั่งให้นำนักโทษ ส่งไปให้เป็นอาหารของอาฬวกยักษ์ตามสัญญา เมื่อนักโทษหมดคุกแล้ว ก็ทรงสั่งให้เอาทองคำไปวางล่อไว้ เมื่อมีผู้มาหยิบทองคำก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุม หาว่าขโมยของหลวง แล้วนำตัวส่งไปให้ยักษ์กิน ต่อมาเมื่อหาผู้ทำผิดไม่ได้ จึงทรงสั่งให้จับเด็กไปให้ยักษ์กิน บรรดาบิดามารดาต่างก็หวาดกลัว พากันหลบหนีไปซุกซ่อนในที่ต่าง ๆ ในที่สุดพระองค์ได้ให้ส่งราชโอรสของพระองค์ไปให้ยักษ์
พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอุปนิสัยของอาฬวกยักษ์ ว่าพอจะกลับใจได้ และพระราชกุมารจะเป็นคนดีต่อไป ในภายหน้า จึงได้เสด็จไปที่ต้นไทรที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ และประทับบนบัลลังก์ของยักษ์ อาฬวกยักษ์โกรธมาก จึงได้แสดงอิทธิฤทธิต่าง ๆ เพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่ไม่เป็นผล จึงได้ทูลถามปัญหาธรรมมีความว่า
บุคคลฆ่าอะไรเสียจึงจะมีความสุข พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลฆ่าความโกรธเสียได้ จึงจะมีความสุข อาฬวกยักษ์ได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสและยอมตนเป็นสาวก
เมื่อราชบุรุษนำพระราชกุมารไปมอบให้ยักษ์ ยักษ์จึงได้ยกถวายพระพุทธเจ้า อาฬวกยักษ์ได้กลับมาเป็น สัมมาทิฐิด้วยประการฉะนี้