ลุงอินก็ไม่เคยมานิรสานอกสถานที่มาก่อน ทุกคนเตรียมพร้อมเต็มที่ในการธุดงค์แสวงบุญ ป้าปรุงของเราก็พร้อมแล้ว เหมือนกัน เสียงพี่ยุพิธีกรประกาศเตือนให้ทุกคนเตรียมพร้อมเรื่องน้ำ เพราะจะไม่มีแจกระหว่างทางเหมือนทุกครั้ง ส่วนอาหารกลางวันจะแจกให้ตอนเพลเลย เมื่อทุกคนพร้อมพระอาจารย์จึงออกพาเดินธุดงค์ การแสวงบุญครั้งประวัติ เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อเวลา 10 นาฬิกาของวันที่ 20 พฤศจิกายน 2547 ที่สาริการีสอร์ท จุดหมายปลายทางของเราคือ น้ำตกสาริกาที่เลื่องชื่อ ของจังหวัดนครนายก

วันนี้แสงแดดจ้าแต่คณะนิรสาของพวกเราเดินแบบสบายๆ เพราะมีร่มไม้ตามเส้นทางตลอด ทุกคนเดินคุยกัน สบายๆบ้างก็พูดถึงนิรสาที่เขื่อนแก่งกระจานว่ามหาโหดกว่านี้ก็เจอมาแล้วครั้งนี้น้องๆแก่งกระจานเยอะ พระอาจารย์พาพวกเราเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพักและสวดลักขี นั่งสมาธิกัน พวกเราคณะทำงาน ส่วนมากจะเดินปิดท้ายกัน ส่วนป้าปรุงเป็นหน้าที่ของผู้เขียนและพี่ขวัญเป็นคนดูแล พระอาจารย์ยังพาเดินขึ้นเขาไป เรื่อยๆทุกคนยังมีสีหน้าและแววตาสดชื่นกันถ้วนทั่ว โดยตลอดทางจะมีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เป็นคนนำทางและคอย อำนวยความสะดวกให้

สิบเอ็ดโมงกว่าพระอาจารย์ก็พาคณะธุดงค์พักฉันเพลและรับประทานอาหาร แต่อาหารมาไม่พร้อมกันต้องรอกัน เป็นระยะๆและมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องรอนานเพราะคณะลูกหาบอาหารหลงทาง ต้องลงไปตาม เส้นทางที่เดินเป็นป่าไม้หนาทืบและมีความชื้นตลอดเส้นทางเดินเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะทำลูกศรชี้บอกทางไว้ให้....

หลังจากพักทานข้าวเสร็จพระอาจารย์ นำสวดลักขี และตามด้วยสมาธิเหมือนเดิม และก่อนจะออกเดิน    ในเวลา บ่ายโมงพระจารย์ได้บอกว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าเหลือระยะทางอีกเท่าระยะทางที่มาก็จะถึงที่หมาย    คือน้ำตกสาริกา   หลายคนยังยิ้มสู้ และบอกว่าสบายกว่าที่แก่งกระจานเยอะ   และมีหลายคนเหมือนกันแอบกระซิบ    ว่าเมื่อถึงน้ำตกแล้วเราจะมีรถมารับเหมือนเดิมหรือไม่ คณะทำงานไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะเราก็ไม่เคยมาสำรวจ
ถึงตรงนี้เหมือนกัน    พระอาจารย์พาคณะเราออกเดินทาง ระยะทางเริ่มไกลออกไปๆ ป่าไม้เริ่มหนาขึ้น เป็นต้นไม้สูง

ใหญ่คาดว่าบางต้นจะมีอายุกว่าร้อยปีเลยทีเดียว ความชื้นเริ่มมีสูง หนทางเริ่มลำบากขึ้น ผู้เขียนต้องคอยดูแลป้าปรุง   ตลอดทาง แต่ป้าปรุงของพวกเราเก่งมาก ไม่ค่อยจะยอมพักเพราะกลัวคนมาทีหลังจะเดินช้าเพราะเราเดินเรียงแถวกัน   ทางเริ่มแคบลง   บ่ายคล้อยหลายคนเริ่มอ่อนล้า   แต่ก็ยังมีเสียงพูดคุย และหัวเราะ   ผู้เขียนกับพี่ขวัญเริ่มพาป้าปรุง มาเดินข้างหน้า ทิ้งห่างคณะทำงานด้านหลังพอสมควร

              เรา 2 สองคนได้มีโอกาสฟังป้าเล่าเรื่องวัดธรรมสมัยเมื่อปี 26 น้ำท่วมใหญ่ หลวงพ่อและพระเณร 300 กว่า   รูปออกบิณฑบาตรไม่ได้ ป้าปรุงต้องทำอาหารมาถวายทุกวันตลอด 3 เดือน โดยที่ป้าทำคนเดียวทุกอย่าง แล้วก็ใส่เรือมาถวายพระ ฟังป้าปรุงเล่าแล้วก็ได้แต่ยกมือท่วมหัวอนุโมทนาสาธุกับป้าปรุงผู้ใจบุญคงไม่มีใครทำ ทำได้อย่างป้าอย่างแน่นอนค่ะป้า สาธุ! นับถือและศรัทธาป้าด้วยใจจริงค่ะ

             ออกเดินทางมาได้ไม่นานพวกเราก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วๆมาแต่ไกล พระอาจารย์และคณะ ทิ้งห่างพวก   เราพอสมควรแต่ก็ยังได้ยินเสียงอยู่ไกลๆ ทางข้างหน้าเปลียนจากต้นไม้ใหญ่เป็นป่าไผ่สูงใหญ่แทน ปล้องไผ่แต่ละลำ   ยาวกว่าลำแขนของผู้เขียนซะอีก สอบถามจากป้าและคนอื่นบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นต้นไผ่ที่สูงและโตขนาด   นี้มาก่อนเลยนี่แสดงว่าพวกเราเดินเข้ามาในป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ที่หนึ่งเหมือนกัน แต่หนทาง

            เราเริ่มเดินลงเขาที่ค่อยๆ ชันลงเรื่อยๆ ระหว่างทางเป็นหินทั้งนั้น ในใจของผู้เขียนเริ่มคิดแล้วว่านี่จะไม่น้อง แก่งกระจานแล้วนะ ความลำบากเริ่มสูสีกันแล้วนะ แถมทุกคนก็เริ่มล้ากันแล้วเพราะนี่ก็บ่าย 2 โมงแก่ๆแล้ว ผู้เขียนเริ่ม พาป้าปรุงพักถี่ขึ้นอากาศร้อนอ้าวไม่มีลมพัดผ่าน แดดจ้าทั้งวัน   แต่ป้าก็สู้ ฝ่าฟันหนทางลำบากจนมาถึงที่พักที่พระ อาจารย์รอยู่จนได้ พวกเรานั่งพักบนโขดหิน มองหาน้ำตกไม่มี มีแต่โขดหิน และน้ำในลำธารที่ไหลผ่านเซาะผ่านหินเล็ก น้อย แต่ก็เย็นชื่นใจเมื่อได้สัมผัส พระอาจารย์ประกาศให้ทุกคนพักผ่อนกันก่อน ใครมาถึงก่อนหาที่พักก่อน และ   พระอาจารย์ประกาศหาป้าปรุงเสียงดัง เงียบไม่มีเสียงตอบ   พระอาจารย์ประกาศหาพี่ไพรัช พี่ยุ เฮียธนวรรฒ์ เสียงดัง
อีก   เงียบไม่มีเสียงตอบเช่นกัน   พระอาจารย์ประกาศอีกหลายรอบป้าปรุงจึงยกมือขึ้นแสดงสัญลักษณ์ว่าสู้! ทุกคนเฮ้! เสียงดัง   ไม่นานคณะของพี่ไพรัชก็เดินทางมาถึงพร้อมพระเณรอีกหลายรูปทุกคนโบกมือแสดงความยินดี