ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ

แลแล้วข้าพเจ้าก็ขออนุญาตจับหัตถ์เบื้องขวาของนางชูขึ้นเสมออกของข้าพเจ้า แสงอันเรืองอุไรของทินกร เมื่อจวนย่ำสนธยาสาดมากกระทบมือนาง มองดูสะอาดสุกใสประดุจแผ่นทองคำ ข้าพเจ้าก้มลงจุมพิตเพียงแผ่วเบา ถ่ายปราณและความรู้สึกทั้งมวลลงสู่หลังหัตถ์และองคุลีที่สวยงาม แลแล้วได้นำหัตถ์นั้นมาวาง ณ อุรประเทศเบื้องซ้ายของข้าพเจ้า เป็นทำนองมอบหัวใจให้อยู่ในอุ้งมือของนางเป็นหัวใจที่แท้จริง และเต็มไปด้วยความรู้สึก ส่วนหัวใจที่ผู้อื่นจะเอาไปนั้น เป็นหัวใจที่ตายซากเหมือนกล้วยที่ยืนต้นตาย เมื่อถูกตัดเครือออกแล้ว

สาวน้อยได้โอนอ่อนผ่อนตาม คำพูดและอาการของข้าพเจ้าทำให้นางสงสารอย่างจับจิต ประดุจอสรพิษงูเหลือมร้ายถูกมัดรัดกายด้วยใยกล้วยตานี ก็พลันนอนสงบนิ่ง จุดอ่อนของมวลนารีอยู่ตรงที่ถูกเว้าวอนด้วยคำหวานให้เกิดสงสารและเห็นใจ อีกประการหนึ่งเล่า นางรู้สึกว่าวันเวลาที่จะคบกันอย่างนี้เหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว ความพลัดพรากจะมาถึงในไม่ช้า จึงตามใจข้าพเจ้าเสมือนเพชฌฆาตตามใจนักโทษประหารในวันสุดท้าย

ดังนั้นนางจึงเอียงศีรษะลงวางบนไหล่เบื้องซ้ายของข้าพเจ้าอย่างนุ่มนวล เหมือนพระพายกระพือพัดเมฆามากระทบไหล่เขาก็ปานกัน รสสัมผัสที่นุ่มนวลเย้ายวนให้เกิดความวาบหวามในดวงจิต แสดงฤทธิ์ออกมาเป็นการเคล้าเคลียอย่างถนอม ท่านอย่าพึงนึกโทษวิมลมานเลยว่าเหมือนหญิงใจง่าย ถ้าท่านเคยมีความรัก ท่านจะเห็นใจผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรัก ว่ากระวนกระวายสักปานใด
"องค์ชาย" นางพูด ข้าพเจ้ารู้เหมือนได้ยินเสียงสะท้อนจากภูเขา "หม่อมฉันไม่มีหัวใจจะรักใครได้อีกแล้ว นอกจากองค์ชายเพียงผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น"

"น้องหญิง" ข้าพเจ้าพูด "ขอให้ข้าพเจ้าเรียกท่านน้องหญิงเถิด เป็นคำที่ไพเราะนุ่มนวล ข้าพเจ้าขอสัญญาอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าขอมอบดวงใจดวงนี้ให้น้องหญิงเพียงผู้เดียว ความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อน้องหญิงนั้นมากล้น เกินที่จะสรรหาคำใดมาพูดให้เหมือนความรู้สึกของดวงใจได้ ขอให้น้องหญิงรับทราบไว้ว่า ความรักทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีต่อสิ่งใดๆ ในโลกนี้เมื่อนำมารวมกันแล้วยังไม่เท่าความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อน้องหญิงเลย ถ้าข้าพเจ้าจำต้องแต่งงานกับหญิงอื่น ก็เป็นเพราะความรู้สึกกตัญญูอยู่ในโอวาทของสมเด็จพระราชบิดาผู้มีพระคุณล้นเกล้า แต่ความรักข้าพเจ้าให้มอบให้น้องหญิงหมดแล้ว การแต่งงานจึงเป็นเพียงหน้าที่ ส่วนความปรารถนาแห่งดวงใจนั้น เป็นเรื่องที่ใครบังคับกันไม่ได้"

"ขอขอบพระคุณองค์ชาย ที่กรุณาประทานเกียรติให้หม่อมฉันมากถึงปานนี้ ชาตินี้หม่อมฉันอาภัพอับโชค สิ่งที่หม่อมฉันต้องการมักไม่ค่อยได้ แต่สิ่งที่พยายามหลีกหนีมักจะมีมาหาอยู่เสมอๆ เพียงได้สดับพระดำรัสขององค์ชายเท่านี้หม่อมฉันก็ชื่นใจแล้ว อย่างน้อยเกิดมาชาติหนึ่งก็มีคนที่รักหม่อมฉันจริงๆ และผู้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์ ต่อไปภายหน้าจะเป็นจอมคนในแผ่นดิน สำหรับความรักของหม่อมฉันที่มีต่อองค์ชายนั้นได้ขึ้นถึงที่สุดแล้ว จะไม่ขึ้นและไม่ลดอีกคงจะรักษาอยู่ในระดับนี้ ความสุขของหม่อมฉันอยู่ที่ได้รักองค์ชาย และทราบว่าองค์ชายรักหม่อมฉันเหมือนกัน" นางพูดเท่านี้แล้วก็ก้มหน้านิ่งอยู่

"ความสุขของข้าพเจ้าก็อยู่ที่ได้รักน้องหญิงและทราบว่าน้องหญิงก็รักข้าพเจ้าตอบ ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว รัชสมบัติในปฐพีมณฑลนี้รวมกันยังไม่มีค่าเท่าน้องหญิง ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ที่ไม่มีน้องหญิงร่วมอยู่ด้วย"
วิมลมานเงยหน้าขึ้น แววแห่งปีติฉายออกมาจากใบหน้าและแววตาของนาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีน้ำตาพร่างพรายอยู่ที่เบ้าตาทั้งสอง แต่ไม่ประหลาดเลยใช่ไหมท่าน ผู้หญิงนั้นดีใจก็ใจร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ดีใจก็ดื่มเมรัย เสียใจก็ดื่มสุรา เลยไม่รู้ว่าเขาดื่มเพราะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ทำงานเหนื่อยมากก็ดื่มสุรา อ้างว่าเพื่อบำบัดความระโหยใช้ซาสร่าง เมื่อว่างมากเกินไปก็ดื่มสุรา โดยอ้างว่าไม่ทราบจะทำอะไร

ข้าพเจ้าประคองเธอให้ซบลงที่แผ่นอก เหมือนพ่อนกหรือแม่นกกางปีกออกปกป้องลูกน้อยซึ่งสั่นสะท้อนเพราะลมหนาว สาวน้อยธิดาช่างทองผู้มีนามว่าวิมลมานมีอาการเหมือนคนเริ่มจับไข้ อย่างนี้เองดรุณีวัยกำดัดผู้ไม่เคยรู้สัมผัสเชิงชู้สาว ย่อมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อถูกชม
"ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! เรื่องของข้าพเจ้าถ้าจะเล่าให้ค่อนข้างละเอียด ท่านจะต้องทนฟังถึงสองหรือสามคืน เวลานี้ก็จวนจะถึงกึ่งมัชฌิมยามแล้ว ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านพักผ่อนบ้าง จึงขอเล่าอย่างรวบรัดว่าข้าพเจ้าและวิมลมานต่างสัญญาว่าจะรักกันแม้จะครองกันแต่เพียงใจก็ตาม

ในที่สุดพิธีมงคลอภิเษกสมรสของข้าพเจ้ากับเจ้าหญิงจุฬารัตน์แห่งสากลนครก็มาถึง พิธีมโหฬารปานว่าจะมีมหรสพทั่วแคว้นปัญจาละ ประชาชนในชนบทมากหลายเดินทางมาสู่นครหลวงหัสตินาปุระเพื่อชมพิธีอภิเษก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อชมหญิงจุฬารัตน์ผู้มีนามกระเดื่องว่างามเลิศปานนางฟ้า ธงทิวปลิวไสว มีไฟหลากสีห้อยย้อยระย้า ทุกถนนหนทางประดับประดาอย่างวิจิตรเพริศพราย มีเสียงชโยโห่ร้องแสดงความยินดีปรีดาอยู่เป็นระยะๆ ความงดงามอำไพพรรณในวันอภิเษกสมรสของข้าพเจ้านั้น สุดที่จะนำมาพรรณนาได้ ขอให้ข้าพเจ้าเล่าข้ามไปเถิด แต่สิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเล่าข้ามไม่ได้ คือความสงสารเห็นใจวิมลมาน ในขณะที่คนทั้งหลายกำลังสนุกกันนั้น ใครเล่าจะซึมเศร้าและหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวเท่าวิมลมาน และข้าพเจ้าเองก็ไม่มีอารมณ์อันบรรเจิดเฉิดฉายเยี่ยงคู่สมรสอื่นๆ แม้จะพยายามอำพรางกิริยาให้ร่าเริงสักเพียงใดก็ไม่สำเร็จ ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! ข้าพเจ้ามิได้ถือวิมลมานเป็นเพียงเพื่อนอารมณ์ แต่ข้าพเจ้าถือเธอเป็นเพื่อนใจ เมื่อขาดเธอเสียแล้วจิตใจของข้าพเจ้าจะเป็นประการใด ขอท่านได้โปรดตรองดูเถิด
เจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นสตรีที่สวยงามสมคำเลื่องลือ นอกจากนี้ยังมีพระอัธยาศัยงามน่ารัก แต่ความรักของข้าพเจ้าได้มอบให้ธิดาช่างทองเกลี้ยงหัวใจเสียแล้ว ประกอบกับความสงสารที่คิดว่าเธอจะระทมเศร้าสักปานใดในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าเห็นการเอาอกเอาใจของเจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นเรื่องรำคาญ ถ้าเจ้าหญิงจุฬารัตน์สนิทสนมกับข้าพเจ้าอย่างน้อง ข้าพเจ้าจะรักน้องคนนี้เป็นที่สุด รักอย่างน้องนะท่าน

คนเราคบกันได้รักกันได้หลายฐานะ อย่างเพื่อน อย่างพี่ อย่างน้อง ต้องคอยสังเกตดูให้ดีว่า เขาหยิบยื่นความสนิทสนมให้เราในฐานะใด ถ้าเขาหยิบยื่นความสนิทสนมให้เราในฐานะเพื่อน แล้วเราไปแสดงท่าทีแบบคนรักเข้า เขาอาจจะรังเกียจขึ้นมาทันที ความเป็นเพื่อนก็พลอยเสียไปด้วย หรือเขารักเรานับถือเราอย่างพี่อย่างน้อง ก็ทำนองเดียวกัน แต่ทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ปฏิเสธเรื่องการแปรสภาพของความรัก หมายความว่าความรักอย่างเพื่อนอย่างญาติในขั้นต้น อาจจะแปรสภาพเป็นความรักอย่างคนรักในขั้นต่อมา เรื่องจะเป็นประการใด กิริยาที่แสดงออกเป็นเครื่องบ่งอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเขาต้องการจะคบกับเราในขอบเขตจำกัด เราก็อย่าแสดงอะไรอย่าทำอะไรให้เลยขอบเขตที่ฝ่ายหนึ่งต้องการ เพราะการทำเลยขอบเขตนั้น นอกจากจะก่อความรำคาญให้เขาแล้ว เมื่อหลายครั้งหลายหนเข้าเขาอาจจะเบื่อหน่ายและเกลียดชังเอาก็ได้ จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่อยากพบ ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเกรงจะถูกเอาอกเอาใจจนน่ารำคาญ สุภาษิตมีอยู่ว่า "จงให้เท่าที่เขาต้องการ และจงทำเท่าที่เขาต้องการให้ทำ" เมื่อได้ความพอเหมาะพอดีทุกอย่างก็เรียบร้อย
ข้าพเจ้าอยู่ร่วมด้วยเจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นเวลาสองปี ท่ามกลางความนิยมชมชื่นของสมเด็จพระราชบิดาและพระประยูรญาติ แต่ด้วยความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวของข้าพเจ้า เราไม่มีโอรสหรือธิดาด้วยกันเลย คราวนี้ผู้ใหญ่ก็เดือดร้อนอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เดือดร้อน
วันหนึ่ง เมื่อตะวันบ่ายคล้อยไปมากแล้ว เราทั้งสองหมายถึงเจ้าหญิงและข้าพเจ้าก้าวลงสู่อุทยาน เพื่อพักผ่อนและเดินเล่นเย็นๆ ใจ ในขณะที่เดินมาถึงพุ่มไม้แห่งหนึ่ง งูใหญ่เลื้อยออกมา เจ้าหญิงตกพระทัยมากจนสุดจะยับยั้ง เธอวิ่งหนีงูและบังเอิญพระชงฆ์ไปกระแทกเข้ากับแง่หินก้อนหนึ่งซึ่งวางไว้เป็นรูปต่างๆ ประดับแอ่งน้ำในอุทยานเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อย พระโลหิตไหลซึมออกมา ข้าพเจ้าเข้าประคองนางและนำกลับสู่พระราชฐาน

ต่อมาบาดแผลเพียงเล็กน้อยนั้นค่อยขยายโตขึ้น แผลลึกลงไปๆ ทีละน้อย แพทย์หลวงพยายามรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ความเจ็บปวดรวดร้าวเพิ่มทวีขึ้นทุกวัน ปากแผลเริ่มเขียวและขอบแผลแข็ง ความทุกข์ทรมานแห่งเจ้าหญิงจุฬารัตน์ ทำให้ข้าพเจ้าปวดร้าวใจไปด้วย วิมลมานทราบข่าวนี้วิตกกังวลยิ่งนัก เธอขออนุญาตเข้ามาเยี่ยมเจ้าหญิงด้วยความห่วงใย ดูซิท่าน! น้ำใจแห่งวิมลมานซึ่งข้าพเจ้ามอบความรักให้ เธอไม่ผูกพยาบาทแม้ในสตรีซึ่งมาแย่งคนรักของตน ในที่สุดเจ้าหญิงจุฬารัตน์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้"
การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงจุฬารัตน์ ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่ข้าพเจ้าอย่างมาก แม้ข้าพเจ้าจะมิได้รักพระนางอย่างที่รักวิมลมาน แต่ด้วยสงสารในดวงจิตก็มีมากอยู่ ท่านเอย! แม้แต่สุนัขที่มันจงรักภักดีต่อเรา เราก็ยังอดสงสารมันมิได้ แล้วมนุษย์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติเมื่อมาจงรักภักดี เราจะไม่มีน้ำใจนึกถึงเขาบ้างเทียวหรือ ตลอดเวลาที่นางมีกำลังกายอ่อนลงๆ นั้น แววพระเนตรฉายแต่ความภักดีออกมาอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าอยู่เฝ้าใกล้พระนางตลอดเวลา คอยปลอบพระทัย แต่พระนางก็ดูเหมือนจะทรงทราบดีว่าความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อพระนางนั้นน้อยเกินไป เมื่อเทียบกันความรักและภักดีที่พระนางมีต่อข้าพเจ้า พระนางพร่ำรำพันถึงแต่ชื่อของข้าพเจ้าเสมือนเป็นเทพเจ้าประจำองค์ อนิจจา! จุฬารัตน์ถ้าเธอมาก่อนวิมลมาน เธอจะได้รับความรักจากข้าพเจ้ามิใช่น้อย แต่เธอเข้ามาเมื่อหัวใจของข้าพเจ้าไม่ว่างเสียแล้ว

เวลาล่วงไป ๖ เดือน ข้าพเจ้ากราบทูลสมเด็จพระราชบิดาเพื่อขอพระบรมราชานุมัติทำการอภิเษกสมรสกับวิมลมาน พระองค์ทรงอนุญาตแม้จะไม่สู้จะเต็มพระทัยนักก็ตาม ตลอดระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าและวิมลมานมิได้พบกันเลย แต่ความรักของเรายังคงแนบสนิทดังเดิม เมื่อเจ้าหญิงจุฬารัตน์สิ้นพระชนม์แล้วข้าพเจ้าและวิมลมานจึงได้พบกัน ความสดชื่นกลับมาสู่ดวงใจของเราทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง เรามิได้ดีใจในการจากไปของเจ้าหญิงจุฬารัตน์เลย แต่เราก็พอใจที่ได้มีโอกาสสมาคมกันอย่างที่เคยมา
ระยะเวลา ๒ ปีเศษ ทำให้วิมลมานเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและเคร่งขรึมลงมากไม่ร่าเริงเหมือนก่อน แต่ยังคงอ่อนหวานนิ่มนวลอย่างเดิม
เมื่อวิมลมานอยู่ในพระราชวังแล้วโดยพระบรมราชานุมัติของสมเด็จพระราชบิดา สถาปนาให้เธอเป็นเจ้าหญิงวิมลมาน รู้สึกเธอมีความสุขขึ้น และสดใสยิ่งขึ้น แต่เรื่องหนึ่งซึ่งทำความลำบากใจแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ คือการประชดประชันกระทบกระแทกเสียดสีจากพระญาติบางพระองค์ซึ่งยังคงฝังพระทัยแน่นอยู่กับเรื่องเชื้อสายสกุลวงศ์

เนื่องจากวิมลมานมาอยู่ในพระราชวังเสียนาน เสวยแต่ของซึ่งคุ้นแต่กับลิ้นของชาววัง บางครั้งจึงอยากเสวยอาหารซึ่งปรุงอย่างธรรมดาเหมือนอย่างที่เคยเสวยเมื่ออยู่บ้างช่างทองบ้าง ก็สั่งคนห้องเครื่องให้ปรุงอย่างที่เธอปรารถนาพร้อมทั้งบอกวิธีไปให้เสร็จ เมื่อต่อหน้าเขาก็รับคำและเคารพนบนอบดี แต่พอลังหลังจึงแอบเอาไปซุบซิบนินทากันว่าเป็นชาติไพร่ ปรุงอาหารให้กินดีๆ ก็ไม่อยากกิน อยากกินของเลวๆ คนชาติไพร่จะยกขึ้นมาอย่างไรก็ไม่วายดิ้นรนลงไปหาที่ต่ำอีก พูดไปด่าว่าเสียดสีไป พร้อมกันออกนามเจ้าหญิงอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า

บังเอิญวันหนึ่ง ขณะที่คนห้องเครื่องกำลังพูดกันอยู่นั้น ข้าพเจ้าและวิมลมานมีกิจธุระบางอย่างที่จะต้องเดินผ่านทางห้องเครื่องไป ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าถึงกับตกตะลึง ไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดอย่างนี้จากคนห้องเครื่อง วิมลมาเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนจะข่มความรู้สึกเร่าร้อนให้จมหายลงไป ข้าพเจ้าเรียกคนห้องเครื่องออกมาพบ และสั่งให้ทำอาหารอย่างที่วิมลมานสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นเวลา ๗ วันและทุกๆ มื้อด้วย

วิมลมานเดินต่อไปไม่ไหว จึงกลับเข้าห้องด้วยดวงใจที่เต็มไปด้วยโทมนัส เธอฟุบลงที่หมอนและร้องไห้ เพื่อนที่ปลอบใจผู้หญิงได้เสมอ เมื่อประสบทุกข์โทมนัสอย่างรุนแรงคือน้ำตา ข้าพเจ้าปลอบเธอ ขอร้องเธอไม่ให้ถือคำพูดพล่อยๆ ของหญิงพวกนั้น
"หม่อมฉันอยากกลับไปอยู่บ้าน จะอย่างไรๆ มันก็เคยให้ความสุขหม่อมฉันมาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ ถ้าหม่อมฉันรักพระองค์น้อยกว่านี้ หม่อมฉันคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ สิ่งเดียวที่คอยปลอบใจหม่อมฉันให้มีความสุขอยู่บ้าง คือความรักความถนอมของพระองค์ ความรักมันให้ความทรมานทั้งสมหวังและผิดหวัง เมื่อความรักสมหวังแล้ว เรื่องก็น่าจะจบ แต่เรื่องของโลกช่างมากเสียจริงๆ" นางพูดด้วยเสียงสะอื้น

"อดทนหน่อย ที่รัก!" ข้าพเจ้าพูดปลอบโยน "โอกาสแห่งความรักอย่างแท้จริงของเราทั้งสองคงมีสักวันหนึ่งเป็นแน่แท้ ความรักมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของมัน เรายึดมั่นในความรักและรักษาความสุจริตไว้แล้ว มันจะค่อยๆ ทำลายอุปสรรคสิ่งกีดขวางไปได้เอง"
อีก ๒ ปีที่ข้าพเจ้าอภิเษกสมรสกับวิมลมาน แต่ไม่ปรากฏร่องรอยว่าจะมีโอรสหรือธิดาเลย คราวนี้ข้าพเจ้าเดือดร้อนกังวลมาก วิมลมานก็เดือนร้อนไม่น้อยกว่าข้าพเจ้า สมเด็จพระราชบิดาก็เร่งเร้าอยู่เสมอว่า ถ้าวิมลมานไม่สามารถมีโอรสได้ ก็จะหาสตรีอื่นมาให้ข้าพเจ้าเพื่อมีโอรสสืบสันตติวงศ์ แต่พอย่างเข้าปีที่ ๓ วิมลมานก็ตั้งครรภ์ นำปีติปราโมชมาให้ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง พวกเราส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่าผู้ไม่มีบุตรเมื่อตายแล้วจะต้องตกนรกขุมปุตตะ ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญพรต ในเรื่องนี้ท่านหรือศาสดาของท่าน มีความคิดอย่างไร?"
"ดูก่อนราชกุมาร!" พระอานนท์กล่าวตอบ "บุคคลบางพวกเดือนร้อนเพราะไม่มีบุตร บางพวกเดือดร้อนเพราะมีบุตรมากเกิน บางพวกถือว่าผู้มีบุตรย่อมได้รับความบันเทิงเริงใจเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมได้รับความบันเทิงเพราะโค บุคคลจะบันเทิงได้ก็เพราะมีสิ่งยึดถือ เมื่อไม่มีสิ่งยึดถือความบันเทิงเริงใจก็ไม่มี แต่พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสว่า

"ผู้มีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร
ผู้มีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค
บุคคลย่อมเศร้าโศกเพราะมีสิ่งยึดมั่นถือมั่น
เมื่อปล่อยวางได้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็ไม่มี ความโศกก็สิ้นสูญ"
พระอานนท์กล่าวจบ พระราชกุมารจตุรงคพลมีพระพักตร์ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อไป

"ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! เมื่อวิมลมานมีครรภ์ได้ ๗ เดือน เธอสุบินนิมิตประหลาด คือ สุบินว่าเธอได้เสวยเสวยแผ่นดินในแคว้นปัญจาละ และแคว้นใกล้เคียงหมดสิ้นถึงกระนั้นก็ยังไม่อิ่มยังอยากเสวยอีก โหราจารย์ทำนายว่าพระนางจะมีโอรสเป็นชาย และโอรสนั้นประสูติมาเพื่อจะเผาผลาญแผ่นดินให้วอดวาย แต่มีวิธีแก้อยู่อย่างหนึ่งคือให้พระนางไปประสูติในป่าใกล้แม่น้ำ คือป่านั้นจะต้องอยู่ริมแม่น้ำด้วย
สมเด็จพระราชบิดาทรงทราบข่าวนี้ด้วยความหนักพระทัย แต่ทรงให้ปฏิบัติตามที่โหราจารย์ทำนาย ประการหนึ่งอยู่ที่พระองค์ไม่สู้จะโปรดวิมลมานเป็นทุนอยู่แล้ว คราวนี้ข่าวก็แพร่สะพัดไปว่าวิมลมานเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองจะมีโอรสมาเผาผลาญแผ่นดิน ทั้งนี้เทวดาประจำเศวตฉัตรคงจะลงโทษ เพราะวิมลมานไม่มีเลือดกษัตริย์เป็นหญิงธรรมดา เมื่อวิมลมานจำต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่า ข้าพเจ้าก็ต้องไปด้วย ข้าพเจ้าออกมาสำรวจสถานที่ และพอใจที่ซึ่งท่านและข้าพเจ้ากำลังอยู่เวลานี้ มหาดเล็กของข้าพเจ้าผู้จงรักภักดีได้ช่วยกันปลูกสร้างกระท่อม และแผ้วถางทางพอสบาย วิมลมานรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อมาอยู่ในป่าเสียได้
เมื่อวิมลมานประสูติพระโอรสแล้ว เรื่องจึงแจ่มแจ้งขึ้นว่า เรื่องที่โหรทำนายว่าลูกของข้าพเจ้าจะเกิดมาเพื่อเผาผลาญแผ่นดินเท่านั้น เป็นเรื่องการยุยงของผู้ซึ่งเกลียดชังวิมลมานอย่างที่สุด และให้สินบนโหราจารย์อย่างมาก สมเด็จพระราชบิดารับสั่งว่า เมื่อประสูติแล้วให้เสด็จกลับพระนคร แต่ทั้งข้าพเจ้าและวิมลมานตกลงใจจะไม่กลับเสียแล้ว เราพอใจด้วยความสุขอย่างสงบในป่านี้ ข้าพเจ้าเคยพบฤาษีผู้สำเร็จวิชาชั้นสูง สามารถดูอนาคตได้เหมือนมองเห็นภาพในกระจกใส และเล่าเรื่องสุบินนิมิตของวิมลมานให้ท่านทราบ ท่านพูดว่าความจริงจะกลับตรงกันข้ามกับที่โหรทำนาย คือลูกชายของข้าพเจ้าจะเป็นใหญ่เป็นโตในกาลภายหน้า จะนำความรุ่งเรืองมาสู่แคว้นปัญจาละและแคว้นใกล้เคียง โดยวิธีซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดเคยทำมาก่อนเลย

"ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ" พระราชกุมารตรัส "ข้าพเจ้าเบื่อพระนครหลวง เบื่อความวุ่นวายสับปลับของสังคม ความแก่งแย่งแข่งดี และใส่ร้ายป้ายสีในสังคม ซึ่งมุ่งมั่นแต่จะแสวงหาประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของใครอื่นเลย ข้าพเจ้าถือเป็นโชคของชีวิตอย่างใหญ่หลวงที่ได้อาศัยอยู่ ณ ที่นี้ ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะไม่ต้องเป็นทาสของใคร เป็นอิสระอย่างแท้จริง ความจริงมีอีกหลายแง่หลายมุมที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะเล่าสู่ท่านฟัง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว ข้าพเจ้าใคร่จะฟังโอวาทจากท่านผู้ทรงศีลพอเป็นมงคลแก่โสตร และเป็นอาภรณ์ประดับใจ" พระราชกุมารตรัสดังนี้แล้วประทับเฉยอยู่

ปลายมัชฌิมยามแล้ว แสงจันทร์สลัวส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มองออกไปภายนอกเห็นเงาไม้ซึ่งอยู่ไกลตะคุ่มๆ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ววิเวกวังเวง เสียงน้ำค้างตกถูกใบไม้ เมื่อพระพายพัดผ่านเป็นครั้งคราวดังเปาะๆ พระพุทธอนุชาผู้ประเสริฐ กระชับอุตตราสงค์ให้แนบกายแล้วกล่าวว่า

"ราชกุมาร! พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสไว้ว่า "ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ" ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี่เอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นเพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้นภาระเป็นจะต้องแบกเกียรติ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงว่าตนเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองเห็นแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง ราชกุมารเอย! คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวง หาความจริงไม่ค่อยได้ แม้แต่ในการนับถือศาสนา

ด้วยอาการดังกล่าวนี้ โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา ภายในอาคารที่มหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุเต็มไปด้วยคนซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร ราชกุมาร! การแสวงหาทางออกอย่างท่านนี้เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปกอดกองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน นี่เป็นข้อยืนยันว่าความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างท่านอยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ท่านก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า แน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นมิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็นปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ราชกุมาร! ท่านลองเลือกดูเถิดจะเอาอย่างไหน คือคนพวกหนึ่งต่ำต้อยกว่าแต่มีความสุขกว่ามาก อีกพวกหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าแต่มีความสุขน้อยกว่า

"ท่านผู้เจริญ! ข้าพเจ้าต้องเลือกเอาประการแรกคือต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า"

"ราชกุมาร! ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ หรือได้แล้วจะไม่เมา จึงมีเรื่องแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกันแล้วจิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันไปทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลงมีความเห็นอกเห็นใจกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิต โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเราคือลดความโลภ ความโกรธ และความหลงของเราเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขความเยือกเย็นมากขึ้นเหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด ความสบายกายก็มีขึ้นมากเท่านั้น"
ขณะนั้นสตรีผู้หนึ่งเดินมาหน้ากระท่อม เธอจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย เข้ามาใกล้และนมัสการพระพุทธอนุชา พระราชกุมารจตุรงคพลจึงแนะนำขึ้นว่า

"ท่านผู้บำเพ็ญตบะ นี่คือวิมลมานภรรยาของข้าพเจ้า และนี่คือบุตรน้อยของข้าพเจ้า" ทั้งสองนมัสการพระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าชายจึงตรัสถามต่อไปว่า "ท่านผู้เจริญ! นามและประวัติความเป็นมาแห่งข้าพเจ้าท่านก็ได้ทราบตลอดแล้ว ทำไฉนข้าพเจ้าจะได้ทราบนามของท่านบ้าง สำหรับเรื่องราวของท่าน ถ้าท่านยังไม่รีบจาริกไปที่อื่น ข้าพเจ้าคงได้ฟังในวันพรุ่งนี้"

"ราชกุมาร! อาตมาภาพมีนามว่า "พระอานนท์" อนุชาแห่งพระมหาสมณโคดมศากมุนี ออกบวชจากศากยตระกูล"

พระราชกุมารและวิมลมาน แสดงอาการตื่นเต้นยินดีเป็นที่พึ่ง ก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่งแล้วตรัสว่า "ท่านผู้ประเสริฐ เป็นลาภและเป็นมงคลอันสูงยิ่งสำหรับข้าพเจ้า ที่มงคลบาทของท่านผู้ประเสริฐเหยียบย่างลง ณ บริเวณกระท่อมนี้ ข้าพเจ้ารู้จักนามและเกียรติคุณของท่านดีอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นองค์จริงเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้จวบจนสิ้นลมปราณ ข้าพเจ้าทั้งสองถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่ระลึกเป็นผู้นำทางในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า หลักคำสอนในศาสนานี้ช่างเพียบพร้อมไปด้วยเหตุผล และตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน"
พระพุทธอนุชาอนุโมทนาต่อเจ้าชายและครอบครัว พร้อมด้วยอวยพรให้มีความสุขความสงบ และเมื่อเขาลากลับไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่งแล้ว ท่านก็ชักอุตราสงค์ขึ้นคลุมกาย หันศีรษะไปทางทิศอุดร นอนด้วยสีหไสยาการ ตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะก้าวลงสู่นิทรารมณ์อันสงบสงัด ลมพัดมาเบาๆ แสงจันทร์สลัวยังคงสาดสองเข้ามา มองดูรูปกายของพระพุทธอนุชาประดุจก้อนทองอำไพพรรณ

ตลอดเวลา ๔๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน พระพุทธอนุชาผู้ประเสริฐเที่ยวจาริกไปโปรยปรายธรรมรัตนะ เพื่อประโยชน์สุขแก่มวลชนชาวชมพูทวีปแทนองค์พระบรมศาสดา เกียรติคุณของท่านกึกก้องระบือไปทั่ว พร้อมๆ กันนั้นแสงสว่างแห่งพระธรรมก็ส่องฉายเข้าไปทำลายความมืดในดวงใจของประชาชน หรือประหนึ่งฝนโปรยปรายลงมาชำระล้างสิ่งโสโครกในดวงจิต คือกิเลสอาสวะน้อยใหญ่ บุคคลผู้ต้องการได้รับแล้วซึ่งความสะอาด สว่าง และสงบได้ลิ้มรสแห่งความสุขซึ่งเกิดจากธรรม เป็นความสุขซึ่งเลิศกว่าสุขใดๆ
-- อวสาน --