เด็กขายทิชชูที่ตลาดแฮปปี้แลนด์

 
 

 


 

ถ้าใครได้ผ่านไปแถวๆตลาดแฮปปี้แลนด์หลังห้างน้อมจิต ภาพผู้คนมากมายที่เดินไปเดินมาก็คงจะเป็นภาพที่ชินตาของทุกๆคน

ในตลาดนี้มีร้านขายอาหารให้เลือกอยู่หลายร้าน ใครที่มาแวะหาอะไรกินที่นี่ก็คงรู้ดี

หากมองไปรอบๆก็คงจะเคยเห็นเด็กตัวดำใส่เสื้อผ้าดูสกปรกมอมแมม หน้าตาออกไปทางแขกๆเดินถือถุงพลาสติกที่บรรจุเต็มไปด้วยกระดาษทิชชูซองเล็กๆ คอยเดินตระเวนไปตามโต๊ะต่างๆที่มีคนนั่งกินข้าวอยู่ภายในตลาด

เด็กเหล่านี้จะมีวิธีการขายกระดาษของพวกเขาแบบ ที่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง จุดขายที่สำคัญของพวกเขามิได้อยู่ที่คุณภาพของสินค้าเท่าใดนัก แต่กลับอยู่ที่สายตาของความน่าสงสารที่จะคอยจับจ้องไปยังสายตาของคนที่ถูกเลือกว่าเป็นเป้าหมาย
โดยแสดงความน่าสงสารผ่านสายตามาสะกดให้คุณเกิดอาการสงสารขึ้นมาทันทีเหมือนโดนยาสั่ง

หลายๆคนที่ซื้อกระดาษทิชชูของพวกเขาก็เพราะความสงสารหรือไม่ก็คงตัดความรำคราญยิ่งมากับหญิงด้วยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
ส่วนคนที่มีจิตใจเข้มแข็งพอก็อาจจะปฏิเสธไปได้แต่อาจจะถูกประณามด้วยสายตาจากโต๊ะข้างๆเป็นได้ว่าไร้ซึ่งความเมตตาอะไรทำนองนี้

เหตุการณ์เหล่านี้ก็เคยเกิดกับตัวผมเองหลายต่อหลายครั้งแล้วที่ผมแวะไปมาที่นี่ ผมเองก็ยังไม่เคยใจอ่อนยอมซื้อกระดาษทิชชูนี้เสียที

ใช่ว่าผมเองจะเคี่ยวหรือไร้ซึ่งความเมตตาอะไรขนาดนั้นหลอกนะ แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เด็กบางคนโตแล้วเกินกว่าที่จะมาทำแบบนี้ เงิน 5 บาทมันอาจจะไม่ได้เป็นเงินจำนวนมากมายอะไรนักที่ผมจะยอมจ่ายได้ อีกอย่างหนึ่งผ้าเช็ดหน้าผมเองก็มีไม่เห็นจะจำเป็นต้องซื้อเลย หากผมใจอ่อนยอมซื้อไปเด็กๆอีก 3 คนอาจมารุมให้ผมซื้ออีกก็ได้

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กๆที่เข้ามาขายกระดาษทิชชูให้ผมหลายต่อหลายคนแห้วไปตามๆกัน เด็กบางคนเดินจากผมไปพร้อมๆกับเสียงบ่นพึมพำอยู่ในลำคอ บางคนก็ทำสีหน้าเซ็งๆก่อนที่จะค่อยๆเดินหายไปในฝูงคน และก็แน่นอนล่ะที่ผมจะถูกประณามด้วยสายตาของคนรอบข้าง ผมเองไม่เอามาใส่ใจอะไรหลอก มันเป็นสิทธิของผู้บริโภคอย่างเรามิใช่เหรอที่จะสามารถเลือกได้ตามความต้องการผมคิดเช่นนี้มาตลอด

จนมาวันหนึ่งผมได้แวะมาหาอะไรกินที่นี่ในตอนค่ำก่อนกลับบ้าน ในขณะที่ผมกำลังบรรจงใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่อยู่นั้นเด็กขายกระดาษทิชชูก็ตรงเข้ามาหาผมเหมือนทุกๆ ครั้งที่มาที่นี่ แต่คราวนี้เป็นเด็กผู้ชายที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนผิวดำตัวเล็กๆ สูงเลยโต๊ะที่ผมนั่งอยู่นิดเดียวอายุประมาณ 4-5 ขวบเห็นจะได้

คราวนี้ต่างไปจากคราวก่อนๆ เด็กคนนี้ไม่ได้พูดอะไรเลย เอื้อมมือเอาซองกระดาษทิชชูมาวางบนโต๊ะเงยหน้ามือสองข้างเกาะขอบโต๊ะมองผมอยู่ แล้วก็เป็นที่แน่นอนล่ะที่ผมจะบอกปฏิเสธไปแค่นี้ไม่ทำให้ผมใจอ่อนง่ายๆหลอก ผมนึกในใจ ผมทำเป็นไม่สนใจกะว่าให้เด็กหมดความพยายามแล้วก็คงเดินจากผมไปเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา

สักครู่หนึ่งเด็กขายกระดาษทิชชูคนนี้ก็ยังไม่ไปจากผมเสียทียังคงมองผมตาปริบๆเช่นเดิม ผมหาวิธีที่จะให้เด็กคนนี้ไปให้พ้นๆเสียที คราวนี้คงจะต้องเกิดการอำกันบ้างล่ะ คิดได้เช่นนั้นแล้วผมก็หันมาอำเด็กคนนี้แบบหน้าด้านๆให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

" น้อง พี่เองหนะตกงานอยู่ไม่มีตังซื้อหลอก เงินค่ารถเมล์พี่ก็ไม่มี ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านยังไงเลย "

ผมใช้มุขแบบเดิมๆที่ใครๆก็พอจะเดากันได้ แต่เด็กคนนี้ก็ยังคงมองหน้าผมอยู่เหมือนเดิมไม่ไปไหน หรือว่าคงจะเป็นเพราะแกคงจะชินกับคำพูดเหล่านี้เสียแล้ว

แต่ผมก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามหลอก เลยอำต่อไปว่า

“น้องหนะขายของได้ตังเยอะหรือเปล่าล่ะ พี่ขอตังค่ารถกลับบ้านหน่อยได้ไหมล่ะ”

ที่นี้ผมเองที่เป็นฝ่ายส่งสายตาขอความสงสารเสียเอง ให้โลกรู้กันไปเลยว่าผมกำลังขอเงินจากเด็กขายกระดาษทิชชู ว่าแล้วเด็กคนนี้ก็เอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเหรียญขึ้นมากำใหญ่น่าจะมีอยู่หลายบาทแล้วทำท่านับอยู่นิดนึงก่อนที่จะค่อยๆหยิบเหรียญ 5 บาท 2 เหรียญ เหรียญ 10 บาท 1 เหรียญ มาวางบนโต๊ะแล้วก็เก็บเงินในมือนั้นลงไปไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมพร้อมกับพูดว่า

" อ่ะ ให้ค่ารถ "

ก่อนที่จะหยิบซองกระดาษทิชชูแล้วเดินจากผมไปอย่างหน้าตาเฉย

ผมเองตะลึงเหมือนโดนตบหน้าอย่างจังด้วยความมีน้ำใจและไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ มันคงทำให้คนบ้าใบ้อย่างผมได้สติขึ้นมาบ้าง ผมคงจะระอายแก่ใจเกินกว่าที่จะเก็บเงิน 20 บาทที่ผมอำเขามาอย่างหน้าด้านๆ นี้ไว้กับตัวเอง หรือว่าดวงตาของผมอาจจะมองเห็นธรรมขึ้นมาบ้างก็ได้ผมจึงเดินตามเอาเงินไปคืนเด็กคนนี้พร้อมกับขอซื้อกระดาษทิชชูที่ผมไม่เคยคิดจะซื้อเลยมา 1 ซอง ในราคา 5 บาท แล้วผมเดินจากมาพร้อมกับความรู้สึกที่ดีๆ และก็ขอขอบใจเด็กคนนี้ด้วยที่ทำให้ผมมองโลกในแง่ดีขึ้นมาบ้าง

หลังจากวันนั้นผมไม่เจอเด็กคนนั้นอีกเลย

เงิน 5 บาท มันอาจจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมายนักแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมนั้นมันมีค่ามากมายกว่าหลายร้อยหลายพันเท่านัก ที่เงินเพียง 5 บาทไม่อาจจะซื้อได้แต่ซื้อใจกันมากกว่า

สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนให้เราเห็นได้ว่าในสังคมของคนเราทุกวันนี้ยังไม่ห่างหายไปจากความมีน้ำใจถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงน้ำใจจากเด็กตัวเล็กๆไร้เดียงสาคนหนึ่งที่หลายๆคนอาจมองข้ามไปเพียงเพราะรูปลักษณ์ อย่างเช่นผม

มันทำให้ผมรู้ว่าเมื่อคุณมองออกไปเห็นเพียงแค่พื้นผิวคุณอาจไม่มีวันรู้หลอก แต่ต้องลองสัมผัสดูต่างหากแล้วจะรู้สึกถึงข้างใน ...