ปฏาจารา

 

" สูจงมาดูโลกนี้อันงามตระการเหมือนราชรถ

ประกอบด้วยดุมวงกงกำอันเพริศแพร้ว และบัลลังก์อันวิจิตร

อันคนเขลาย่อมหลงย่อมข้องอยู่

แต่บัณฑิตหาได้ข้องอยู่ไม่"

 

พระพุทธพจน์

 

 

แม่น้ำอจิรวดียามหน้าแล้ง น้ำตื้น มีหาดทรายผุดขึ้นกลางน้ำเป็นแห่ง ๆ กระแสนั้นเย็นใสและไหลเอื่อย ถึงแม้ความกว้างของแม่น้ำจะดูเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดในการคมนาคมข้ามไปมา เพราะน้ำตื้นเพียงเข่าและแยกกันเป็นตอน ๆ ลุยข้ามได้อย่างสะดวกสบาย

 

ปฏาจาราและสามีผู้ต่ำต้อยของเธอได้หนีออกจากบ้านในเมืองสาวัตถี มาถึงฝั่งแม่น้ำนี้ และข้ามไปสู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อเวลารุ่งสาง นั่นคือภายหลังที่ประตูเมืองเพิ่งเปิดไม่นาน ทั้งคู่หันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งผ่านมาก็ไม่เห็นผู้ใดติดตามมา ภูมิภาพโดยรอบมีแต่ความเรียบสงบ แม่น้ำอจิรวดีอันกว้างใหญ่ยังไหลเรื่อย ลัดเลาะท้องคุ้งมุ่งสู่ทิศทักษิณอย่างไม่แยแสต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ปฏาจาราหยุดนิ่งอยู่กับที่ทอดสายตาเหม่อมองข้ามฝั่งแม่น้ำอจิรวดีไปไกลสุดสายตา และจับนิ่งอยู่กับภาพตะคุ่ม ๆ ของเมืองสาวัตถี ซึ่งแลเห็นเลือนลางอยู่ไกลลิบแล้วก็ถอนใจ

 

ป่านฉะนี้ พ่อแม่คงจะยังไม่ตื่นเพราะยังเช้ามากนัก ท่านจะรู้หรือไม่หนอ ปฏาจาราได้จากไปแล้ว จากไปอย่างน่าอัปยศอดสูเหลือเกิน หนีตามผู้ชายไป! ผู้ชายที่ต่ำต้อย ไม่มีศักดิ์ ไม่มีทรัพย์ ไม่มีสกุลรุนชาติอะไรสักนิด นอกจากความรักอย่างเดียวเท่านั้นที่เขามี พ่อแม่คงเสียใจและแค้นใจเหลือเกินที่นึกไม่ถึงว่า เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น ท่านจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อปฏาจาราลูกหญิงคนเดียวของท่านเป็นคนดี คนบริสุทธิ์มาแต่น้อยคุ้มใหญ่ ไม่เคยทำความผิด ความบาปอันใดให้คนติฉินนินทา เป็นศรีแห่งวงศ์ตระกูลมาแต่ไหนแต่ไร ใคร ๆ เขาก็ชม ใคร ๆ เขาก็เล่าลือแต่ความดีความงามของปฏาจาราไปทั้งพระนครสาวัตถี

 

จวนจะแจ้งแล้ว อีกไม่นานหรอก เขาก็คงรู้กันแซ่ทั้งพระนครว่า ปฏาจาราคนงามได้หนีตามชายต่ำศักดิ์ไปเสียแล้ว พ่อแม่คงจะเป็นลมครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความโทมนัส ปฏาจาราก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องเช่นนี้ แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรักมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด ใครเล่าจะขัดขวางได้ ปราสาทอันแสนสุขที่เคยอยู่ พ่อแม่และพี่ชาย กลายเป็นภาพอดีตไปเสียแล้ว เมื่อความรักเข้าครอบครองใจ ทุกสิ่งที่เป็นอุปสรรคก็ไร้ความหมาย "เขา" เป็นเพียงผงธุลีในสายตาของท่านเศรษฐีผู้บังเกิดเกล้าของปฏาจารา ไม่มีอะไรที่เทียบเคียงกับลูกเศรษฐีพ่อค้าวานิช ที่เคยมาเลียบเคียงสู่ขอปฏาจาราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง พ่อแม่คงไม่คิดด้วยซ้ำว่า คนต่ำต้อยขนาด "เขา" นั้นจะอาจเอื้อมมาช่วงชิงธิดาคนเดียวของท่านไปได้ แน่ละท่านย่อมไม่คิด

 

แต่ทุกสิ่งก็ผ่านไปแล้ว ปฏาจาราได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า เมื่อน้ำหนักในด้านความรักมีมากกว่า ปฏาจาราก็จำใจต้องเลือกวิธีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า นับแต่นี้ไปจะต้องพบแต่ความยากลำบากแทบเลือดตากระเด็น

 

ท้องฟ้าเริ่มจะสางแล้วความมืดกำลังจะจากไป อีกไม่ช้าแสงเงินแสงทองก็จะฉายจับขอบฟ้า ความสว่างแจ่มใสจะกลับมาเยือนโลกอีกวาระหนึ่ง แต่ปฏาจาราเล่า ชีวิตของเธอนับแต่นี้ไปจะแจ่มใสเหมือนอรุณรุ่งหรือไม่หนอ ?

 

ชีวิตใหม่ของเธอไม่ผิดไปจากความคาดคะเนเลย กระท่อมน้อยชายป่าที่เป็นเรือนหอ และที่พำนักของเธอกับเขาเป็นที่ให้ความอบอุ่นใจอย่างยิ่งก็จริงอยู่ แต่เธอกับเขาก็ต้องผจญกับความยากจนแสนเข็ญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช้าตรู่ตื่นมาก็ออกไปทำไร่ ยามว่างจากฤดูทำไร่ก็ช่วยกันตัดฟืนขาย ทำมาหากินอย่างฝืดเคืองเหลือประมาณ … ปฏาจาราได้บทเรียนเบื้องต้นแห่งชีวิตของเธอแล้ว

 

เวลาล่วงไปนับขวบปี ปฏาจารามีครรภ์ใกล้จะครบกำหนดคลอด ความเดือดร้อนใจก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะตามธรรมเนียมการคลอดบุตรคนแรก หญิงต้องไปคลอดที่บ้านเดิมของตน ปฏาจาราเริ่มคิดถึงตัว นึกถึงความลำบากที่จะเกิดขึ้น ถ้าเธอคงอยู่ที่นี่อีกต่อไปจะได้ใครดูแล ในป่าเปลี่ยวเช่นนี้ไม่เห็นหน้าใครจะเป็นที่พึ่งได้ สามีเล่าก็ไม่ประสีประสาในเรื่องเช่นนี้ เธอต้องไป ถึงจะเป็นอย่างไร เธอก็จะขอไปคลอดที่บ้านเดิมให้ได้ ป่านฉะนี้ พ่อแม่จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ กาลเวลาที่ผ่านไปคงทำให้ท่านใจอ่อนลง และอาจจะยกโทษให้เธอแล้วก็ได้ ถ้าเธอได้เห็นท่านอีกครั้ง จะชื่นใจสักเพียงไหน พ่อแม่ถึงจะโกรธอย่างไรก็คงตัดลูกไม่ขาด

 

แต่ครั้นเธอนำความคิดนี้มาเล่าให้สามีฟัง เขากลับไม่เห็นด้วย เขายังเกรงกลัวบิดาของเธออยู่ เพราะเขายังไม่ลืมความผิดของเขาที่ลักพาเธอมา เขาหว่านล้อมเธอด้วยเหตุผลดีจนกระทั่งเธอเองก็ใจอ่อน และในที่สุดความหวังของเธอที่จะกลับไปบ้านเดิมก็ภินท์พังลง

 

หลังจากคลอดบุตรชายคนแรกด้วยความลำบากยากเย็นแทบสิ้นชีวิต ปฏาจาราก็มีภาระมากขึ้น เพราะต้องเลี้ยงบุตรและทำงานมากกว่าเก่า แต่เธอก็เป็นสุขใจ เพราะลูกทำให้เธอแจ่มใสและไม่เงียบเหงาคิดถึงบ้านเหมือนแต่ก่อน เธอบำรุงเลี้ยงลูกมาจนลูกของเธออายุได้สามขวบ เธอก็ตั้งครรภ์ครั้งที่สอง ความทุกข์และความคิดถึงพ่อแม่ก็เริ่มขึ้นอีก เธอเริ่มคิดถึงพ่อแม่และอยากจะพบท่านเหลือเกิน เธอนึกอยู่เสมอว่าป่านนี้ท่านคงลืมความผิดของเธอไปนานแล้ว และท่านจะมีความสุขเพียงไหนหนอ ถ้าท่านจะได้พบเธออีกสักครั้งพร้อมกับหลานของท่านที่กำลังโตวันโตคืน น่ารักเช่นนี้

 

คงเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่

 

บังเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในใจเช่นนี้แล้ว เธอก็คิดหาทางหนีสามี เธอรู้ดีว่าถ้าเธอบอกความคิดของเธอแก่เขา เขาก็คงจะค้านคอเป็นเอ็นไม่ยอมให้เธอไป ดังนั้น เธอจะไปเสียก่อนที่เขาจะรู้ โอกาสหลังยังมี อีกไม่นานเธอจะกลับมาหาเขาใหม่พร้อมกับพาเขาไปอยู่ด้วยกันในพระนครสาวัตถี

 

วันหนึ่งได้โอกาส พอสามีออกไปทำไร่ ปฏาจาราก็ไม่รอให้เสียเวลา รีบเก็บเสื้อผ้าแล้วอุ้มลูกออกจากบ้านไป เธอออกจากบ้านไปได้ครึ่งวัน สามีก็กลับจากไร่ ไม่เห็นเธอกับลูกก็รู้ได้ทันทีว่าเธอหนี เขารีบติดตามเธอไปโดยเร็ว มาทันกันเมื่อใกล้จะผ่านพ้นแนวป่า เขาพยายามอ้อนวอนอย่างไร ๆ ปฏาจาราก็ไม่ยอมกลับ ยืนยันความตั้งใจของเธอว่าจะไปคลอดบุตรที่บ้านให้ได้ สามีก็จำใจต้องยอมตาม และติดตามเธอมาด้วยความเป็นห่วง

 

พอดีในตอนเย็นวันนั้นเกิดพายุใหญ่ เหมือนจะเป็นลางร้ายแก่ปฏาจารา ฟ้าคะนองอยู่เปรี้ยงเปรี้ยงน่าสะพรึงกลัว ในไม่ช้าฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ปฏาจาราเป็นห่วงลูกน้อย เกรงจะเป็นอันตรายและเธอก็เจ็บครรภ์แทบจะขาดใจ จึงเร่งสามีให้ไปทำเพิงกำบังฝนโดยเร็ว เขาจากไปแล้วเธอก็กอดลูกคร่ำครวญด้วยความเป็นทุกข์ เธอคอยท่าสามีอยู่ช้านาน ยังไม่เห็นเขากลับมา ความเจ็บปวดของเธอก็เพิ่มทวีขึ้นทุกที ปฏาจาราก็กลิ้งเกลือกกายไปมาอย่างทุรนทุราย

 

ในคืนนั้นเองเธอก็คลอดบุตร

 

ทั้งลมทั้งฝนยังกระหน่ำอยู่เรื่อยไม่มีท่าว่าจะหยุด ปฏาจารากอดลูกทั้งสองเข้าแนบอก ก้มตัวลงเอาแผ่นหลังรองรับสายฝนป้องกันมิให้เปียกลูกน้อยตลอดทั้งคืน

 

รุ่งเช้าฝนหาย พายุก็สุดสิ้น แสงแดดแจ่มจรัสไปทั่วแนวป่า ต้นไม้มีใบเขียวชะอุ่มแลดูสดชื่น นกกางเขนร้องเพลงไพเราะเจื้อยแจ้ว วันใหม่เริ่มต้นด้วยความแจ่มใส จนดูเหมือนว่าไม่มีร่องรอยของความโหดร้ายเมื่อคืนนี้เหลืออยู่เลย

 

ปฏาจาราค่อยยันกายลุกขึ้นยืนอย่างโผเผ รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปหมด ค่อยประคองลูกเซซังไปในป่า เพื่อตามหาสามี เธอแลเห็นเขานอนตายอยู่ข้างจอมปลวกตัวแข็งทื่อ เขาตายสนิทเพราะถูกงูกัดตั้งแต่เมื่อคืน เธอเองเป็นผู้ใช้ให้เขาไปทำที่พัก เขาจึงต้องรับกรรมอย่างนี้

 

ปฏาจาราร้องกรีดเหมือนคนเสียสติ ถลาเข้าไปประคองร่างสามี ร่ำไห้เหมือนใจจะขาด ลูกคนโตมองหน้าตื่น ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ปฏาจาราพร่ำเรียกเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า …

 

ในที่สุดเธอก็ตัดใจ ทิ้งศพสามีไว้พลางก่อน รีบพาลูกน้อยเดินทางกลับบ้านบิดามารดา ในไม่ช้าก็บรรลุถึงฝั่งอจิรวดี แลเห็นพระนครสาวัตถีอยู่ตรงข้ามไกลลิบ ๆ

 

แต่อนิจจา! เธอจะข้ามไปได้อย่างไรเล่า แม่น้ำอจิรวดีหน้าแล้งซึ่งเคยตื้นเพียงเข่า บัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำแลดูเวิ้งว้างสุดสายตา กระแสน้ำไหลแรงและเชี่ยวกรากเพราะฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อคืนนี้ ทำให้น้ำไหลบ่าลงมาจากที่สูงโดยแรง หาดทรายที่เคยผุดขึ้นระเกะระกะ บัดนี้จมอยู่ใต้พื้นน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลเสียแล้ว แลเห็นแต่กระแสน้ำวิ่งเป็นเกลียวไล่กันไปสุดลูกหูลูกตา เธอคะเนดูความลึกของแม่น้ำจากความเคยชิน ก็รู้ว่าตอนที่ลึกที่สุดคงจะถึงแค่คอ ถ้าเช่นนั้น เธอก็ไม่มีหวังที่จะอุ้มลูกทั้งสองลุยข้ามไปได้ ปฏาจารามองดูสายน้ำอันกว้างใหญ่ด้วยความท้อใจ เคราะห์ร้ายช่างติดตามมาไม่รู้สร่าง เหมือนจะคอยแกล้งให้ประสบแต่ความผิดหวังอยู่ร่ำไป

 

ในที่สุดปฏิภาณก็บังเกิดขึ้น เธอมองเห็นลู่ทางที่จะพาลูกข้ามน้ำได้ โดยพาข้ามไปทีละคน คงจะเสียเวลานาน และเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แต่มันก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ เธอสั่งลูกคนโตให้รออยู่ฝั่งนี้ก่อนแล้วก็จัดแจงอุ้มลูกคนเล็กลุยน้ำข้ามไป น้ำเชี่ยวจนเธอแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ แต่เธอก็พยายามระมัดระวังพาลูกคนเล็กข้ามไปถึงอีกฝั่งหนึ่งโดยปลอดภัย เอาผ้าปูบนพื้นดินแล้วเอาลูกน้อยวางลงไว้ เสร็จแล้วลุยกลับมาหมายจะรับลูกคนโต มาถึงกลางแม่น้ำพอดีมีเหยี่ยวตัวใหญ่บินผ่านมาแลเห็นลูกน้อยของปฏาจาราวางอยู่บนผ้า ก็คิดว่าเป็นก้อนเนื้อบินโฉบลงมาขยุ้มด้วยกรงเล็บอันแหลมคมแล้วก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า ปฏาจาราตกใจแทบสิ้นสติ ตะโกนร้องเต็มเสียงและโบกมือไล่ แต่เจ้าเหยี่ยวร้ายหาได้ปล่อยเหยื่อของมันไม่ ในที่สุดก็บินลับหายไป

 

ขณะเดียวกัน บุตรคนโตของเธอที่คอยอยู่บนอีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่ร้องตะโกนตบไม้ตบมือก็คิดว่าแม่ร้องเรียก โดยวัยเยาว์ไม่ทันคิด ก็โผลงสู่แม่น้ำ สายน้ำอันไหลเชี่ยวก็กวาดเอาร่างน้อยจมหายไป ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีการโผล่ขึ้นมาอีก แม่น้ำอจิรวดีอันกว้างใหญ่ คงไหลเรื่อยไป มุ่งลงสู่ทิศทักษิณเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปฏาจาราแหวกว่ายควานหาลูกของเธออย่างบ้าคลั่ง แต่จะได้พานพบก็หาไม่ จนกระทั่งอ่อนใจสิ้นเรี่ยวแรง ค่อยตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง เดินโซซัดโซเซไปตามถนน ผ้าผ่อนเปียกชุ่มโชก น้ำตาก็ไหลพรากไม่ขาดสาย รู้สึกเจ็บช้ำและเหนื่อยอ่อนปิ้มว่าจะขาดใจ

 

บนทางสายใหญ่ที่ทอดไปสู่พระนครสาวัตถี ปฏาจาราได้พบชาวเมืองคนหนึ่งเดินสวนมา เธอก็ตรงไปถามเขาว่าได้ทราบข่าวท่านเศรษฐีบิดาของเธอหรือไม่ ชายคนนั้นมองสารรูปของเธออย่างสงสัย แต่ก็ตอบอย่างสุภาพว่า

 

" ท่านเศรษฐีชื่อนั้นมีจริง ท่านเป็นคนร่ำรวยมาก แต่น่าสงสารเหลือเกิน ชีวิตของท่านสั้นไปหน่อย เมื่อคืนนี้ที่นี่เกิดพายุใหญ่ฝนก็ตกหนัก พายุร้ายได้พัดเอาปราสาทของท่านเศรษฐีพังลงมา ตัวท่านเศรษฐีตลอดจนภรรยาและลูกชายถูกทับตายอยู่ในนั้น เมื่อเช้านี้ชาวบ้านเขาไปดูกัน ได้คุ้ยเอาศพท่านเศรษฐีกับบุตรภรรยาไปเผารวมกันที่เชิงตะกอน ไปดูเถอะ เดี๋ยวนี้ไฟยังกรุ่น ๆ อยู่เลย"

 

ปฏาจาราร้องกรี๊ดเต็มเสียง ความหวังทั้งสิ้นในชีวิตดับวูบลงบัดนั้น

 

พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย เขาเผารวมกันบนเชิงตะกอนเดียวกัน … ลูกถูกเหยี่ยวโฉบไปคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งจมหายไปในอจิรวดี … ผัวตายเพราะถูกงูกัด …

 

หัวใจที่บอบช้ำแสนสาหัสอยู่แล้ว เมื่อกระทบกับวิปโยคครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเข้าอีก ปฏาจาราก็ถึงกับสิ้นสติเหนี่ยวรั้ง สมองของเธอก็วุ่นวายถึงขั้นวิกลในทันที

 

เธอวิ่งปราดออกจากที่นั่น เตลิดไปตามท้องถนนอย่างไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ปากก็พร่ำแต่คำว่า "สิ้นแล้ว ๆ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย ลูกตาย ผัวตาย เขาตายจากเราไปหมดแล้ว" หญิงผู้ไร้สติวิ่งไป ๆ ผ่านถนนต่าง ๆ ไม่รู้กี่สาย เสื้อผ้าขาดวิ่นน่าเวทนา เธอผ่านไปที่ไหน พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งตามกรูเกรียวตะโกนว่า "คนบ้า คนบ้า!" บางคนก็เขาไปหลอกล้อ บางคนก็กอบฝุ่นมาโปรยลงบนศีรษะ และบางคนที่ใจร้ายก็เอาก้อนดินขว้างปาเธอโดยเห็นเป็นของสนุก แต่ปฏาจาราไม่รู้สึกตัว ยังคงวิ่งกระเซอะกระเซิงเรื่อยไป เหมือนแม่กวางที่ถูกฝูงหมาไนไล่ล้อม เธอวิ่ง - วิ่ง - และวิ่งจนเตลิดเข้าไปในเขตสวนอันร่มรื่นแห่งหนึ่งเข้า เธอวิ่งฝ่าเข้าไปในสวนนั้นจนถึงที่ชุมชนแห่งหนึ่ง มีผู้นั่งฟังอย่างสงบเงียบ เงียบจนกระทั่งเธอเองถึงกับหยุดชะงักในทันที

 

เธอแลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่บนอาสนะท่ามกลางธรรมสภา ทรงประกอบด้วยพระบวรรูปสิริโสภาคย์รุ่งเรืองหาที่เปรียบมิได้ พระพักตร์อิ่มเอิบด้วยบุญราศี บรรดาพุทธบริษัทต่างแวดล้อมพระองค์อยู่โดยรอบ อุปมาดั่งดวงดาวทั้งหลายอันแวดล้อมนักษัตรราชาในคัคนานต์

 

พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นปฏาจาราตั้งแต่แรกวิ่งเข้ามาในพระเชตวัน จึงประทับนิ่งคอยอยู่ พอปฏาจาราเข้ามาถึง บรรดาสัปปุรุษที่นั่งอยู่วงนอกก็พยายามกันเอาไว้ไม่ให้เธอเข้าไป แต่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสขึ้นว่า

 

" ปล่อยเธอเข้ามาเถิด"

 

ปฏาจาราในสภาพขะมุกขะมอมเสื้อผ้าขาดวิ่นยับเยิน ผมเผ้ายุ่งรุงรัง ได้ก้าวเข้ามาเผชิญอยู่เบื้องหน้าเฉพาะพระพักตร์ พระภควันตมุนีทอดพระเนตรดูเธอด้วยพระเมตตากรุณาเป็นล้นพ้น ทรงเผยพระดำรัสว่า

 

" เธอจงได้สติเถิด"

 

ปฏาจารารู้สึกเย็นชื่นในหัวใจเหมือนมีน้ำทิพย์มาลูบไล้ สติสัมปชัญญะกลับคืนมา เหลียวดูรอบ ๆ กาย เห็นผู้คนมากหน้าหลายตาแวดล้อมอยู่เป็นอันมากก็แปลกใจ ครั้นเหลือบดูเรือนร่างของตนเห็นเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เธอก็อับอายเป็นกำลังทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที อุบาสิกาคนหนึ่งผู้นั่งอยู่ใกล้ ๆ ได้ส่งผ้าห่มให้แก่เธอด้วยความสงสาร เธอรีบรับมาห่มคลุมร่างกายอย่างเรียบร้อย ความรู้สึกค่อยแจ่มใสขึ้นเป็นลำดับ เธอพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ล่วงมา ก็รู้ว่าเธอได้เสียสติไปเพราะอะไร พอนึกถึงความเก่าพลันความโศกก็บังเกิดขึ้นอีก จนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ เธอก็ซบหน้าลงสะอึกสะอื้นร่ำไห้อยู่ท่ามกลางธรรมสภานั้น

 

ทันใดเธอได้ยินพระสุรเสียงอันไพเราะอ่อนหวาน ตรัสแก่เธอโดยเฉพาะว่า

 

" ดูก่อนน้องหญิง! น้ำตาของเธอที่หลั่งไหลเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รักในปัจจุบัน ในอดีตชาติ นับไม่ถ้วนนั้น ถ้าจะเปรียบก็มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก เธอร้องไห้เพราะความปรารถนาในสิ่งที่เป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่หาสาระมิได้ สิ่งที่จากไปแล้วใช่ว่าจะกลับคืนมา เธอจะร่ำไห้ไปใย ชนทั้งหลายผู้ถูกความทุกข์เข้าครอบงำย่อมเศร้าโศกเช่นนี้ ย่อมไม่แลเห็นความจริงอย่างนี้ เธอจงระงับความโศกเสียเถิด"

 

" ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของโลก ขอทรงช่วยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ยากที่ใครจะเคยประสบ สามีของหม่อมฉันถูกงูกัด ลูกชายคนโตตกน้ำตาย ลูกชายคนเล็กเหยี่ยวโฉบเอาไป บิดามารดาแลพี่ชายเล่าก็ถูกปราสาทพังทับตายพร้อมกัน หม่อมฉันหมดที่พึ่ง พระองค์จงเป็นที่พึ่งของหม่อมฉันเถิด"

 

พระบรมศาสดาตรัสปลอบด้วยพระวาทะอันเป็นมธุรกถาว่า

 

" ดูก่อนปฏาจารา! เธออย่าพึงวิตกว่า การมาหาตถาคตจะเปล่าประโยชน์ เธอคิดถูกแล้วในการที่มาหาตถาคต เพราะนอกจากตถาคตแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่จะเป็นที่พึ่งแก่เธอได้ ปฏาจารา! เธอจงสงบใจฟังให้ดีเถิด เธอจงรู้ว่าชีวิตเป็นของน้อย มีเวลาสั้นนัก ผู้รู้แจ้งเห็นจริงย่อมไม่ประมาทเลย บุตรก็ดี สามีก็ดี บิดามารดาหรือสิ่งอันเป็นที่รักใคร่ใด ๆ ก็ดี ย่อมไม่อยู่นาน ย่อมจากเราไปเป็นของแน่แท้ เธอจะทุกข์ถึงเขาทำไม ถึงมีก็เหมือนไม่มี เพราะไม่มีใครอาจต้านทานความตายได้ ปฏาจารา! เธอจงรู้ความจริงข้อนี้ และถอนตนจากความมัวเมาเช่นนี้เสียเถิด"

 

เมื่อทรงเตือนสติดังนั้นแล้ว ก็ทรงยกหลักธรรมอันประณีต คือจตุราริยสัจจธรรมมาบรรยายโดยละเอียด ทรงชี้ให้เห็นว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้และหนทางไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้นเป็นอย่างไร ในที่สุดทรงสรุปให้ปฏาจาราเข้าใจในฐานะปัจจุบันของเธอว่า

 

" น สนฺติ ปตฺตา ตาณาย น ปิตา น ปิ พนฺธวา อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส"

 

" เมื่อบุคคลใดถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว บุตรทั้งหลายที่มีอยู่ก็ต้านทานมัจจุราชไม่ได้ บิดาก็ช่วยไม่ได้ ถึงพวกพ้องก็ช่วยไม่ได้"

 

" นตฺถิ  าตีสุ ตาณตา เอตมตฺถวสํ  ตฺวา ปณฺฑิโต สีลสํวุโต นิพิพานคมน มคฺคํ ขิปฺปเมว วีโสธเย"

 

" ความป้องกันหามีไม่ในหมู่ญาติ ฉะนั้น บัณฑิตเมื่อทราบอำนาจแห่งเหตุนี้แล้ว พึงเป็นผู้สำรวมในศีล พึงเร่งรีบทำทางของตนเพื่อไปสู่พระนิพพานเถิด"

 

ปฏาจาราสดับพระสำเนียงอันเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาธิคุณ ความสงบก็บังเกิดขึ้นแก่เธอ เธอส่งใจใคร่ครวญไปตามพระดำรัส วิโมกษญาณ ปรากฏแก่เธอโดยแจ้งชัด ปัญญาก็สว่างเห็นตลอดในความทุกข์ทั้งปวง เมื่อระงับความทุกข์เสียได้ ดวงใจของเธอก็สงบสิ้นที่เกาะเกี่ยวใด ๆ พ้นจากอำนาจแห่งอาสวกิเลสทั้งปวง อุปมาเหมือนไฟที่มอดไหม้จนดับลงเพราะสิ้นเชื้อคือน้ำมันฉะนั้น.

 

 

" ผลไม้สุกแล้ว ก็มีภัยอยู่ตลอดเวลาจากการที่จะต้องร่วงหล่นไป ฉันใด

สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วก็มีภัยอยู่ตลอดเวลาจากการที่จะต้องตาย ฉันนั้น

ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้วทั้งหมด ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุด ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่

ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปเบื้องหน้าด้วยกันทั้งหมด

เมื่อเขาเหล่านั้น ถูกมฤตยูครอบงำแล้ว ต้องไปปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้

ญาติทั้งหลายจะป้องกันเหล่าญาติไว้ก็ไม่ได้ ดูเถิด ทั้งที่หมู่ญาติกำลังมองดู

พร่ำรำพันอยู่ด้วยประการต่าง ๆ ผู้จะต้องตายก็ถูกพาไปแต่ลำพังคนเดียว เหมือนโคที่เขาเอาไปฆ่า"

 

พระพุทธพจน์