คุณผู้หญิงทั้งหลาย ต้องระวังไว้ว่า
การคิดไปเอง นึกไปเอง อ่านหรือเดาใจผู้อื่นไปเอง
และด่วนสรุปผลเอาเองว่า ความคิดของตัวนั้นถูกต้อง
เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อความสัมพันธ์ของคุณและคนที่คุณรัก
สมภพกับส่องแสง เป็นคู่หมั้นที่ใกล้จะแต่งงานกัน วันหนึ่งสมภพมารับส่องแสง เพื่อไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
สมภพทำงานมีธุรกิจส่วนตัว ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ธุรกิจซบเซาไปกว่าเดิมทำให้สมภพต้องคิดมาก เพื่อปรับปรุงการค้าและธุรกิจของเขา
เมื่อมาเจอคู่หมั้น แม้จะเป็นเวลาที่นอกเหนือจากงานในหน้าที่ แต่บ่อยครั้ง เขาก็จะมีเรื่องทางธุรกิจ ที่เข้ามารบกวนจิตใจเป็นครั้งคราวทำให้เขาดูเงียบและซึมไปเมื่ออยู่กับส่องแสง
ส่องแสงนั้นเธอมีความสุขเสมอเมื่อมาเจอสมภพ หรือเมื่อเขามารับเธอไปเที่ยว แต่หลังๆ เมื่อเธอยู่กับเขา เธอเห็นเขาดูไม่สดชื่นและเคร่งขรึมไป เธอซึ่งเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว ก็คิดไปเองว่า "สมภพคงไม่พอใจในตัวเธอ
คงเบื่อเธอ"
ความคิดของส่องแสงไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เธอยังคิดต่อไปอีกเป็นคุ้งเป็นแควว่า
"เราคงไปทำอะไรให้เขาเบื่อ
เขาคงไม่อยากแต่งงานกับเราก็ได้"
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ส่องแสงรู้สึกเสียใจและคิดเลยไปถึงว่า เมื่อสมภพบอกเลิกการแต่งงานกับเธอ เธอคงจะไม่รักใครอีก และเธอคงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต
เมื่อคิดมาถึงช่วงนี้ ส่องแสงรู้สึกผิดหวังและเศร้าใจอย่างที่สุด เธอแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
เรื่องความคิดของส่องแสงนี้ ถ้าเรามาวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า ส่องแสงพยายามแปลพฤติกรรมของสมภพ อย่างไม่ถูกต้อง และผลก็คือ เธอสามารถทำให้ตัวเธอเองมีความทุกข์ได้อย่างหมดจดงดงาม!
นอกจากนี้ถ้าส่องแสงเชื่อ และมีพฤติกรรมตามความคิดของเธอ เราก็อาจจะคาดเดาได้ เธอคงกลับบ้านนั่งร้องไห้ ลงโทษตัวเอง หรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการตอบโต้สมภพ ซึ่งสมภพก็คงไม่เข้าใจเลยว่า อะไรเกิดขึ้นกับส่องแสง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ เริ่มมาจากจุดเดียวเท่านั้น คือ การอ่านใจหรือการอ่านพฤติกรรมผู้อื่นอย่างผิดพลาด
จริงๆ แล้วพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือการแสดงออกทางกิริยาท่าทาง มิใช่เป็นสิ่งที่เราจะสามารถ "อ่าน" กันได้ง่ายๆ เหมือนการอ่านหนังสือ เพราะในการแสดงออกทางกิริยาท่าทาง หรือสีหน้า แม้กระทั่งคำพูดก็ดี บ่อยครั้งก็แฝงเร้นไปกับความหมายที่ซ่อนเร้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้อย่างเปิดเผย
สมมุติว่าเราเห็นผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในร้ายขายหนังสือทุกวัน และเราสรุปว่าเขาชอบอ่านหนังสือ ความคิดของเราอาจผิดพลาดไปมากเพราะเขาอาจไปติดใจคนขายหนังสือสาวสวยทำให้เขา มีพฤติกรรมไปที่ร้านขายหนังสือบ่อยๆ ก็ได้
ดังนั้นพฤติกรรมใดก็ตามที่เห็นเกิดขึ้นภายนอก มิได้ "อ่าน" หรือ "เดา" ถึงข้อเท็จจริงภายในได้ง่ายๆ และถูกต้องเสมอไป แม้ว่ามนุษย์เราจะมีธรรมชาติที่ชอบเดาหรือชอบแปลความหมายพฤติกรรมผู้อื่น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า การเดาและการสรุปของเรา อาจมีความผิดพลาดได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ทำไมการเดาของเราจึงผิดพลาด ?
สาเหตุก็เป็นเพราะ เมื่อเราพูดคุยอยู่กับใครก็ตาม เราไม่มีทางที่จะล่วงรู้เข้าไปถึงพฤติกรรม ภายในของเขาได้เลย พฤติกรรมภายในที่พูดถึงก็คือ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และแรงจูงใจของเขา สิ่งที่เราเห็นได้ก็เป็นเพียงสีหน้า ท่าทาง ใบหน้า แววตาของเขาเท่านั้น
เราไม่มีทางที่จะล่วงรู้ไปได้ถึงความรู้สึกภายในของเขา ถ้าเราสังเกตเพียงพฤติกรรมภายนอกได้
ลองสังเกตดูง่ายๆ จากตัวเราเองก็ได้
ถ้าเราเจอคนที่เราไม่ชอบเขาด้วยสาเหตุใดก็ตาม ถ้าเราเป็นคนปกติที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาพอสมควร เราก็คงทำสีหน้าเฉยๆ หรืออาจจะพูดคุยกับเขาตามปกติ มากกว่าแสดงสีหน้าเคียดแค้น ชิงชังใส่เขา เขาอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่า เราไม่ชอบเขา เพราะปฏิกิริยาภายนอกของเราดูปกติ และเขาก็ไม่สามารถอ่านใจเราได้
เมื่อเขาอ่านใจของเราไม่ได้ ในทางกลับกัน เราจะไปอ่านใจเขาออกได้อย่างไรกัน ?
เราคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่อเชยๆ ทำนองผู้หญิงบางคน "แอบ" รักผู้ชายบางคน แต่ไม่เคยแสดงให้ผู้ชายได้รับรู้เลย ผลก็คือผู้ชายไม่มีวันได้ล่วงรู้ถึงความรู้สึกภายในของผู้หญิงได้
ไม่มีใครในโลกที่จะมีแสงเรดาร์ที่จะส่องผ่านทะลุบุคคล เข้าไปสู่ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของผู้อื่นได้
ถ้าเป็นเช่นนั้น เวลาเรามีความสัมพันธ์กับใครก็ตาม เราก็คงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่า เขานึกคิดกับเราเช่นไร ถ้าเราอ่านใจเขาไม่ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เขารู้สึกกับเราเช่นไร ?
โดยทั่วๆ ไป เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใครก็ตาม มันจำเป็นที่เราจะต้องรู้ว่า เขาชอบเราหรือไม่ชอบเรา เพื่อที่เราจะได้ "รุก" หรือ "ถอย" เราต้องเช็กความเข้าใจของเรา ว่าเขาคิดกับเราอย่างไร รู้สึกต่อเราแค่ไหน โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งไม่ฉาบฉวย เราอยากรู้เพื่อความมั่นใจของเราเอง
คนทั่วๆ ไปก็มักจะเดาจากพฤติกรรมภายนอกของผู้อื่น เช่น ถ้าเขาส่งดอกไม้มาให้ มาชวนไปเที่ยวบ่อยๆ โทรศัพท์มาหาเป็นประจำ พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ น่าจะบ่งได้ว่า เขาชอบเราได้ระดับหนึ่ง
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่ามันคือข้อเท็จจริง 100% การที่จะรู้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เราก็คงจะได้จากการถามด้วยปากของเราเอง ว่าเขาคิดนึกกับเราเช่นไร เพราะการคิดไปเองของเรา อาจผิดพลาดโดยสิ้นเชิงก็ได้
บ่อยครั้งที่การเดาใจของเราเกิดจากสภาพอารมณ์ข้างในตัวเราเองมากกว่าความนึกคิดของคู่สนทนาของเรา
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งในเรื่องของความสัมพันธ์ และความรัก เมื่อได้ฟังไปสักพักเขาก็จะยิ้ม ทั้งๆ ที่เรื่องก็ไม่ได้ขบขันอะไรเลย เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ผู้เขียนรู้สึกฉุนโกรธขึ้นมาทันทีว่า
"เขายิ้มทำไม? เขากำลังหัวเราะเยาะเรื่องที่เราเล่าให้เขาฟังหรือไม่?"
เมื่อรู้สึกเช่นนั้นก็จะหยุดพูดทั้งๆ ที่ยังเล่าไม่จบเรื่อง ต่อมาภายหลังเมื่อได้ถามเขาถึงสาเหตุการยิ้มของเขา ก็ทราบว่า คำพูดของเราไปสะกิดเรื่องเก่าๆ สมัยเขาเป็นวัยรุ่น และริอ่านมีแฟน เขาก็เลยนึกขันตัวเองขึ้นมา ว่าชอบทำอะไรเชยๆ ในสมัยนั้น
จะเห็นได้ว่าหลังจากการเช็กข้อมูลกันแล้วจะพบว่า การ "เดา" ไปเองเรานั้นผิดพลาดโดยสิ้นเชิง ถ้าเราไม่มีการเช็กถามกันดู เรากับเพื่อนก็คงเข้าใจผิดกันไปอีกนาน คือเราก็โกรธว่า เขาไม่ให้เกียรติในคำพูดของเรา ส่วนเขาก็จะไม่เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา อยู่ดีๆ ก็ไปโกรธเขา
มีคนบางประเภทที่มักชอบเดาผิดมากกว่าคนอื่น คนประเภทนั้นมักเป็นบุคคลที่ชอบคิดมาก วิตกกังวลสูง ใจน้อย หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวบ่อย คนที่มีความกังวลสูงหรือสภาพจิตใจที่หวั่นไหวง่าย มักจะอ่านใจผู้อื่นพลาดง่าย เพราะจะมัวแต่นึกถึงความกังวลในตนเองมากกว่าพยายามรับรู้ความจริงว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา
ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลาย จึงต้องระวังไว้ว่า การคิดไปเอง นึกไปเอง อ่านหรือเดาใจผู้อื่นไปเอง และด่วนสรุปผลเอาเองว่าความคิดของตัวนั้นถูกต้อง เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ของคุณ และคนที่คุณรัก
ก่อนการสรุปหรือเชื่อ ในการ "เดา" ใจของคุณ โปรดให้โอกาสตัวเองได้มีการ "เช็ก" ข้อมูลกับคู่สนทนาก่อนเสมอ ทั้งนี้เพื่อป้องกันความทุกข์ที่ไม่ควรจะต้องเกิด จากการทำตัวเป็นนักอ่านใจผู้อื่น ที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง
นวลศิริ เปาโรหิตย์
|