เศรษฐีผู้มีภรรยา 4 คน

 
 
 

กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งมีภรรยา 4 คน เขารักภรรยาคนที่ 4 มากที่สุด รองลงมา คือคนที่ 3,2 และ 1 ตามลำดับ ดั้งนั้นภรรยาคนที่ 4 ซึ่งเป็นคนล่าสุด สาวที่สุด จึงได้รับความเอาใจใส่ และให้ความสำคัญมากกว่าคนอื่นๆ

ต่อมา เมื่อเศรษฐีแก่ชราลง เขาอยากจะรู้ว่า ในบรรดาภรรยาทั้ง 4 คนนี้ ใครบ้างที่รักเขาจริง เศรษฐีเรียกภรรยาคนที่ 4 มาถามว่า "นี่น้อง อีกไม่นานพี่คงต้องตายจากไป หากพี่ตายไป พี่อยากจะชวนน้องไปอยู่อยู่ด้วย เพราะพี่รักน้องมากที่สุด น้องจะไปด้วยได้ไหม"

ภรรยาคนที่ 4 ก็ตอบว่า "จะบ้าหรือพี่ มีใครที่ไหน ที่จะตามคนตายไป พี่ไปของพี่ก่อนเถอะนะ น้องไม่ไปด้วยหรอก"

เศรษฐผิดหวังอย่างหนัก เสียใจอย่างมากเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น จึงหันไปถามภรรยาคนที่ 3 ด้วยคำถามเดียวกัน

ภรรยาคนที่ 3 ก็ตอบว่า "พี่เป็นอะไรไป ถึงคนรักกันปานใด ก็ไม่มีใครยอมตายตามไปด้วยหรอก เชิญพี่ตายไปก่อนเถิดนะ"

เศรษฐีต้องเสียใจซ้ำสอง คิดว่าคนที่รักรองลงมาจะตายตามไปด้วย ก็ผิดหวังอีก จึงหันไปถามภรรยาคนที่ 2 ภรรยาคนที่ 2 ก็ตอบปฏิเสธในทำนองเดียวกัน ทำให้เศรษฐีผิดหวังมากยิ่งขึ้น จึงหันไปถามคนสุดท้าย ซึ่งเป็นภรรยาคนแรก ซึ่งเขาไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลนัก ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จึงถามไปอย่างไม่คาดหวังอะไร

แต่ภรรยาคนที่ 1 กลับตอบว่า "เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น ยามสุขก็สุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จะทอดทิ้งกันได้อย่างไร ถ้าพี่ตายไป น้องก็จะขอตามไปด้วย"

ในที่สุด เศรษฐีจึงได้รู้ว่า ภรรยาคนแรก ซึ่งเขาไม่เคยให้ความสำคัญเลยนั้น กลับเป็นผู้ที่รักเขาอย่างจริงใจ และมีน้ำใจจะติดตามปรนนิบัติเขาไปทุกหนทุกแห่ง ส่วนภรรยาผู้ที่เขาทุ่มเทความรักให้อย่างมากมาย กลับมิได้สนใจใยดีในตัวเขาเลย

ถึงตอนนี้ ลองคิดดูให้ดีสิว่า เศรษฐีผู้นี้คือใคร?

แท้ที่จริงแล้ว เขามิใช่คนอื่นคนไกลเลย เขาคือ...ตัวเรานั่นเอง

เราทุกคน ต่างเปรียบได้กับเศรษฐีที่มีภรรยา 4 คน โดยที่...

ภรรยาคนที่ 1 คือ จิตใจ

ภรรยาคนที่ 2 คือ ร่างกาย

ภรรยาคนที่ 3 คือ บ้านเรือน สมบัติพัสถาน

ภรรยาคนที่ 4 คือ เสื้อผ้า เครื่องประดับ

เพราะฉะนั้น เลือกเอาเถิดว่าเราจะรักและเอาใจใส่ภรรยาคนไหนให้มากที่สุด บางคนอาจจะเป็นเศรษฐี ผู้ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะรักใคร ดังจะเห็นได้จาก... บางคนมัวแต่เอาใจใส่ให้เวลากับเรื่องเสื้อผ้า เครื่องประดับ บ้างก็มัวแต่เฝ้าหวงแหนทรัพย์ ดูแลบ้านเรือน สมบัติพัสถาน บ้างก็มัวเฝ้าทะนุถนอมบำรุงรักษา แต่เพียงร่างกาย

โดยหารู้ไม่ว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้จักวิธีการดูแลรักษาจิตใจที่ถูกต้อง ย่อมเปรียบได้กับเศรษฐีผู้มองข้ามภรรยาคนที่ควรจะรักมากที่สุดไป แต่สำหรับผู้ที่หมั่นรักษาจิตใจนั้น รู้จักวิธีการใช้โลกียทรัพย์ เปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ ตัดความตระหนี่ด้วยการทำทาน นำร่างกายที่เกิดเป็นมนุษย์ รักษาศีลให้สมบูรณ์ เพื่อนำความไม่มีโรค ติดตัวไป และนำดวงปัญญาที่สว่างไสวไปด้วยการทำสมาธิ ทำใจหยุดใจนิ่ง สู่หนทางพ้นทุกข์ ย่อมจะเป็นทุน เป็นเสบียงที่จะนำความสุข ความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นในอนาคตที่ยาวไกลได้

นี่คือชีวิตที่เราเลือกได้ ว่าจะทุ่มเทความรักให้กับสิ่งใด ระหว่างของชั่วคราวอันน่าหลงใหล กับจิตใจซึ่งจะติดตามเราไปตลอดกาล.