โสฬสปัญหา พระสุตตันปิฎก

 
 
 

โธตกมาณพปัญหาที่ ๕

ข้าพระเจ้าขอทูลถามพระองค์ อยากฟังพระวาจาของพระองค์ ข้าพระเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์แล้วจะสึกษาข้อปฏิบัติ อันเป็นเครื่องดับกิเลสของตน
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจะเป็นคนมีปัญญา มีสติ ทำความเพียรในศาสนานี้เถิด
ธ. ข้าพระเจ้าได้เห็นพระองค์ หากังวลมิได้ เที่ยวอยู่ในเทวโลก และมนุษยโลก เหตุนั้นขอพระองค์ทรงเปลื้องข้าพระเจ้าเสียจากความสงสัยเถิด
พ. เราเปลื้องใคร ๆ ในโลก ผู้ยังมีความสงสัยอยู่ไม่ได้ เมื่อท่านรู้ธรรมอันประเสริฐ ก็จักข้ามห้วงทะเลใหญ่คือ กิเลสอันนี้เสียได้เอง
ธ. ขอพระองค์จงแสดงธรรมอันสงัด จากกิเลสที่ข้าพระเจ้าควรรู้ สั่งสอนข้าพระเจ้าให้เป็นคนโปร่ง ไม่ขัดข้อง ดุจอากาศ สงประงับกิเลสเสียได้ ไม่อาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด เที่ยวอยู่ในโลกนี้
พ. เราจะบอกอุบายเครื่องสงบระงับกิเลส ซึ่งจะเห็นเอง ไม่ต้องเชื่อตามตื่นข่าว ที่บุคคลได้ทราบแล้ว จักมีสติ ข้ามความอยากที่ตรึงใจในโลกเสียได้แก่ท่าน
ธ. ข้าพระเจ้าชอบใจอุบายเครื่องสงบระงับกิเลสอันสูงสุดนั้นเป็นอย่างยิ่ง
พ. ถ้ท่านรู้ว่า ความทะยานอยากทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ ท่ามกลาง เป็นเหตุให้ติดข้องอยู่ในโลก ท่านอย่าทำความทะยานอยาก เพื่อจะเกิดในภพน้อยภพใหญ่


อุปสีวมาณพปัญหาที่ ๖

ลำพังข้าพระเจ้าผู้เดียว ไม่ได้อาศัยอะไรแล้ว ไม่อาจข้ามห้วยทะเลใหญ่คือ กิเลสได้ ขอพระองค์ตรัสบอกอารมณ์ที่หน่วงเหนี่ยว อันข้าพระเจ้าจะควรอาศัยข้ามห้วงนี้แก่ข้าพระเจ้าเถิด
พระศาสดาทรงพยากรณ์ ท่านจงเป็นผู้มีสติแพ่งอากิญจัญญายตนฌาน อาศัยอารมณ์ว่าไม่มี ๆ ดังนี้ ข้ามห้วงเสียเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายเสีย เป็นคนเว้นจากความสงสัย เห็นธรรมที่สิ้นไปแห่งความทะยานอยาก ให้ปรากฏชัดทั้งกลางคืน กลางวันเถิด
อ. ผู้ใด ปราศจากความกำหนัดในกามทั้งปวงแล้ว ล่วงฌานได้แล้ว อาศัยอากิญจัญญายตนฌานน้อมใจแล้วในอากิญจัญญายตนฌาน อันเป็นธรรมเปลื้องสัญญาอย่างประเสริฐสุด ผู้นั้นจะต้องอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น ไม่มีเสื่อมบ้างหรือ ?
พ. ผู้นั้น จะตั้งอยู่ใน อากิญจัญญายตนฌานนั้นไม่มีเสื่อม
อ. ถ้าผู้นั้น จะตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้นไม่มีเสื่อม สิ้นปีเป็นอันมาก เขาจะเป็นผู้ยั่งยืนอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น หรือจะดับขันธปรินิพพาน วิญญาณของผู้เช่นนั้น จะเป็นฉันใด ?
พ. เปลวไฟอันกำลังลมเป่าแล้วดับไป ไม่ถึงความนับได้ไปแล้วข้างทิศไหน ฉันใด ท่านผู้รู้พ้นไปแล้วจากนามรูป ย่อมดับไม่เหลือเชื้อ (คือ ดับพร้อมทั้งกิเลสทั้งขันธ์) ไม่ถึงความนับว่าไปเถิดเป็นอะไรฉันนั้น
อ. ท่านผู้นั้น ดับไปแล้ว หรือว่าเป็นแต่ไม่มีตัว หรือจะเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืน หาอันตรายมิได้ ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ความข้อนั้นแก่ข้าพระเจ้า
พ. ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ที่ดับ ปรินิพานแล้ว มิได้มีกิเลส ซึ่งเป็นเหตุกล่าวผู้นั้นว่า ไปเถิดเป็นอะไรของผู้นั้นมิได้มี เมื่อธรรมทั้งหลาย (มีขันธ์ เป็นต้น) อันผู้นั้นจัดได้หมดแล้ว ก็ตัดทางแห่งถ้อยคำ ที่พูดถึงผู้นั้นว่าจะเป็นอะไรเสียทั้งหมด


นันทมาณพปัญหาที่ ๗

ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีมีอยู่ในโลกนี้ ข้อนี้เป็นอย่างไร เขาเรียกคนถึงพร้อมด้วยญาณ หรือถึงพร้อมด้วยการเลี้ยงชิวิตว่ามุนี
พระศาสดาทรงพยากรณ์ ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวว่าคนเป็นมุนี ด้วยความเห็น ด้วยความสดับ หรือด้วยความรู้ เรากล่าวว่าคนใด ทำตนให้ปราศจากกองกิเลส เป็นคนหากิเลสมิได้ ไม่มีความหวังทะยานอยากเที่ยวอยู่ คนผู้นั้นแลชื่อว่ามุนี
น. สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยความเห็นด้วยความฟัง ด้วยศีลและพรต และด้วยวิธีเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านั้น ประพฤติในวิธีเหล่านั้น ตามที่ตนเห็นว่าเป็นเครื่องบริสุทธิ ข้ามพ้นชาติชราได้แล้วบ้างหรือหาไม่ ข้าพเจ้าทูลถาม
พ. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้ประพฤติอย่างนั้น เรากล่าวว่าพ้นชาติชราไม่ได้แล้ว
น. เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลก หรือมนุษยโลก ข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว
พ. เราไม่กล่าวว่า สมณพราหมณ์อันชาติชรา ครอบงำแล้วทุกคน แต่เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ละอารมณ์ที่ตนได้เห็นได้ฟังได้รู้ และศีลพรตกับรู้วิธี เป็นอันมากเสียหมด กำหนดรู้ตัณหาว่าเป็นโทษควรละแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นแล ข้ามห้วงได้แล้ว
น. ข้าพระเจ้าชอบใจพระวาจาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงแสดงธรรมอันไม่มีอุปธิ (กิเลส) ชอบแล้ว แม้ข้าพระเจ้าก็เรียกสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า ผู้ข้ามห้วงได้แล้ว เหมือนพระองค์ตรัส


เหมกมาณพปัญหาที่ ๘

ในปางก่อนแต่ศาสนาของพระองค์ อาจารย์ทั้งหลายได้ยืนยันว่า อย่างนั้นได้ เคยมีมาแล้วอย่างนี้ จักมีต่อไปข้างหน้า คำนั้นล้วนแต่วา อย่างนี้แล ๆ สำหรับแต่จะทำความตรึกให้ฟุ้งมากขึ้น ข้าพระเจ้าไม่พอใจในคำนั้นเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเหตุถอนปัญหา ที่ข้าพระเจ้าทราบแล้ว จะพึงเป็นคนมีสติ ข้าล่วงตัณหา อันให้ติดอยู่ในโลก แก่ข้าพระเจ้าเถิด
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ชนเหล่าใด ได้รู้ว่าพระนิพพาน เป็นที่บรรเทาความกำหนัดพอใจในอารมณ์ที่รัก ซึ่งได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้ดมแล้ว ได้ชมแล้ว ได้ถูกแล้ว และได้รู้แล้วด้วยใจ และเป็นธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนผู้สงบระงับกิเลสได้แล้วนั้น ข้ามล่วงตัณหาอันให้ติดอยู่ในโลกได้แล้ว


โตเทยยมาณพปัญหาที่ ๙

กามทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในผู้ใด ตัณหาของผู้ใดไม่มี และผู้ใดก้าวล่วงความสงสัย เสียได้ความพ้นของผู้นั้นเป็นเช่นไร ?
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ความพ้นของผู้นั้น ที่จะเป็นอย่างอื่นอีกมิได้ (อธิบายว่า ผู้นั้นพ้นจากกาม จากตัณหา จากความสงสัยแล้ว กามก็ดีตัณหาก็ดี ความสงสัยก็ดี จะกลับเกิดขึ้น ผู้นั้นจักต้องเพียรพยายามเพื่อจะทำต้นให้พ้นไปอีก หามีไม่ ความพ้นของผู้นั้นเป็นอันคงที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น)
ต. ผู้นั้นเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหรือไม่ เป็นคนมีปัญญาแท้ หรือเป็นแต่ก่อปัญหา และทิฏฐิให้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ข้าพระเจ้าจะรู้จักท่านมุนีนั้นได้ด้วยอย่างไร ?
พ. ผู้นั้นเป็นคนไม่มีความหวังทะเยอทะยาน จะเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหามิได้ เป็นคนมีปัญญาแท้ จะเป็นแต่คนก่อตัณหา และทิฏฐิ ให้เกิดด้วยปัญญาก็หาไม่ ท่านจงรู้จักมุนีว่าคนไม่มีกังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพ อย่างนี้เถิด

 

กัปปมาณพปัญหาที่ ๑๐

ขอพระองค์ตรัสบอกธรรม อันเป็นที่พึ่งพำนักของชนอันชราและมรณะ มาถึงรอบข้าง ดุจเกาะอันเป็นที่พำนักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสาคร เมื่อคลื่นเกิดที่น่ากลัวใหญ่แก่ข้าพระเจ้า อย่าให้เกิดทุกข์นี้มีได้อีก
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวว่านิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น เป็นที่สิ้นแห่งชราและมรณะนี้ แลเป็นดุจเกาะ หาใช่ธรรมอื่นไม่ ชนเหล่าใดรู้นิพพานนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้วดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมารเลย

 

ชตุกัณณีมาณพปัญหาที่ ๑๑

ข้าพระเจ้าได้ทราบว่า พระองค์มิใช่ผู้ใคร่กาม ข้ามล่วงกิเลสเสียได้ จึงมาเฝ้าเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้หากิเลสมิได้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปัญญาดุจดวงตา เกิดพร้อมกับตรัสรู้ จะแสดงธรรมอันระงับแก่พระเจ้าโดยถ่องแท้ เหตุว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสกามให้แห้งหายได้ ดุจพระอาทิตย์อันส่องแผ่นดินให้แห้งด้วยรัศมี ขอพระองคผู้มีพระปัญญา กว้างใหญ่ราวแผ่นดิน ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชรา ในอัตภาพนี้ที่ข้าพระเจ้าควรจะทราบ แก่ข้าพระเจ้าผู้มีปัญญาน้อยเถิด
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงนำความกำหนัดในกามเสียให้สิ้น เห็นการออกไปจากกาม โดยเป็นความเกษมเถิด กิเลสเครื่องกังวล ที่ท่านยึดไว้ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ซึ่งควรจะสละเสีย อย่าเสียดใจของท่านได้กังวลใดได้มีแล้วในปางก่อน ท่านจะให้กังวลนั้นเหือดแห้งเสีย กังวลในภายหลังอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอากังวลในท่ามกลาง ท่านจักเป็นคนสงบระงับกังวลได้เที่ยวอยู่อาสวะ (กิเลส) ซึ่งเป็นเหตุถึงอำนาจมัจจุราชของชนผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยอาการทั้งปวงมิได้มี

 

ภัทราวุธมาณพ ปัญหาที่ ๑๒

ข้าพระเจ้าทูลขออาราธนาพระองค์แล้ว ผู้ทรงและอาลัยตัดตัณหาเสียได้ไม่หวั่นไหว (เพราะโลกธรรม) ละความเพลิดเพลินเสียได้ ข้ามล่วงกิเลสพ้นไปได้แล้ว และธรรมเป็นเครื่องให้ดำริ (ไปต่าง ๆ ) คือ ตัณหาและทิฏฐิได้แล้ว มีพระปรีชาญาณอันดี ชนที่อยู่ชนบทต่าง ๆ อยากจะฟังพระวาจาของพระองค์ มาพร้อมกันแล้วจากชนบทนั้น ๆ ได้ฟังพระวาจาพระองค์แล้ว จักกลับไปจากที่นี้ ขอพระองค์ทรงแก้ปัญญา เพื่อชนเหล่านั้น
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า หมู่ชนนั้น ควรจะนำตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวา คือ ท่ามกลางทั้งหมดให้สิ้นเชิง เพราะเขาถือมั่นในสิ่งใด ๆ ในโลก มารย่อมติดตามเขาได้ โดยสิ่งนั้น ๆ เหตุนั้น ภิกษุเมื่อรู้อยู่ เห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะ เป็นด้าวแห่งมารนี้ว่า ติดอยู่เพราะความถือมั่นดังนี้ พึงเป็นคนมีสติ ไม่ถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง


อุทยมาณพปัญหาที่ ๑๓

ข้าพระเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามถึงปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงนั่งบำเพ็ญฌาน มีพระสันดานปราศจากกิเลสธุลี หาอาสวะมิได้ ได้ทรงทำกิจที่จะต้องทำเสร็จแล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้ทั่วถึง เป็นเครื่องทำลายอวิชชา ความเขลา ไม่รู้แจ้งเสีย
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในกาม และโทมนัสเสียทั้งสองอย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วง เป็นเครื่องห้ามรำคาญมีอุเบกขากับสติเป็นธรรมบริสุทธิ์ มีความตรึกประกอบด้วยธรรมเป็นเบื้องหน้า ว่าเป็นธรรมเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้ทั่วถึง เป็นเครื่องทำลายอวิชชา ความเขลาไม่รู้แจ้งเสีย
อ. โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้
พ. โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละตัณหาเสียได้
อ. เมื่อบุคคลมีสติระลึกอย่างไรอยู่วิญญาณจึงจะดับ
พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในภายนอก มีสติระลึกอย่างนี้วิญญาณจึงดับ

 

โปสาลมาณพปัญหาที่ ๑๔

ข้าพระเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงสำแดงพระปรีชาญาณในกาลเป็นอดีตไม่ทรงหวั่นไหว (เหตุสุขทุกข์) มีความสงสัยอันตัดเสียได้แล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ข้าพระเจ้าขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้ความกำหนดหมายในรูปแจ้ชัด (ถือได้บรรลุปฐมฌานแล้ว) ละรูปรมณ์ทั้งหมดได้แล้ว (ล่วงรูปฌานไปแล้ว) เห็นอยู่ทั้งภายในภายนอกว่า ไม่มีอะไรสักน้อยหนึ่ง (คือได้บรรลุอรูปฌานที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ) บุคคลเช่นนั้น
จะควรแนะนำสั่งสอน ให้ทำอย่างไรต่อไป ?
พระศาสดาทรงพระยากรณ์ว่า พระตถาคตเจ้าทรงทราบภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งหมด จึงทรงทราบบุคคลผู้เช่นนี แม้ยังอยู่ในโลกว่า มีอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ มีอากิญจัญญายตนภพ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า บุคคลเช่นนั้นรู้ว่ากรรมอันเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ มีความเพลิดเพลินยินดี เป็นเครื่องประกอบดังนี้แล้ว สำคัญนั้น ย่อมพิจารณาเห็นสหชาติธรรมในอากิญจัญยายตนฌาน นั้น (คือ ธรรมที่เกิดพร้อมกันกับฌานนั้น) แจ้งชัดโดยลักษณะสาม (คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว) ข้อนี้เป็นสัญญาณอันถ่องแท้ของพราหมณ์เช่นนั้น ผู้มีพรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว

 

โมฆราชมาณพปัญหาที่ ๑๕

ข้าพระเจ้าได้ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพระเจ้า ๆ ได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึงสามครั้งแล้ว พระองค์ทรงแก้ ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว ทูลถามปัญหาเป็นคำรบ ๑๕ ว่า โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับทั้งเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุฉะนี้จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ ผู้ทรงพระปรีชาเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร ? มัจจุราช (ความตาย) จึงจักไม่แลเห็น คือ ว่าจักไม่ตามทัน
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่าถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ และมัจจุราชจึงไม่แลเห็น


ปิงคิยมาณพปัญหาที่ ๑๖

ข้าพระเจ้าเป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกำลัง มีผิวพรรณสิ้นไปแล้ว ดวงตาของข้าพระเจ้าก็เห็นไม่กระจ่าง หูก็ฟังไม่สะดวก ขอข้าพระเจ้าอย่างเป็นคนหลงฉิบหายเสีย ในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระเจ้าควรรู้ เป็นเครื่องละชาติ ชรา ในอัตภาพนี้เสีย
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านเห็นว่าชนทั้งหลายผู้ประมาทแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เฉพาะฉะนั้น ท่านจะเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสีย จะได้ไม่เกิดอีก
ปิ. ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องต่ำ ที่พระองค์ไม่ได้เห็น แล้วไม่ได้ฟังแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้รู้แล้ว แม้น้อยหนึ่งมิได้มีในโลก ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระองค์ควรรู้ เป็นเครื่องละชาติ ชราในอัตภาพนี้เสีย
พ. เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ อันตัณหาครอบงำแล้ว มีความเดือดร้อนเกิดแล้ว อันชราถึงรอบข้างแล้วเหตุนั้น ท่านจะเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย จะได้ไม่เกิดอีก