การทหารของไทย

 


การทหารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยุคต้น

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

ราชอาณาจักรไทย ได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทุกทิศทางยิ่งกว่าสมัยใด กล่าวคือ ทางเหนือได้อาณาจักรลานนาไทย รวมทั้งหัวเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น เชียงตุง เชียงรุ้ง และหัวเมืองอื่น ๆ ในแคว้นสิบสองปันนา ทางด้านตะวันออกได้หัวเมืองลาว และกัมพูชาทั้งหมด ด้านทิศใต้ได้ดินแดนตลอดแหลมมะลายู ได้แก่ เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู เมืองเประ และเมืองปัตตานี ด้านตะวันตก ได้หัวเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี และเมืองทะวาย

ได้มีสงครามกับพม่าหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญได้แก่สงครามเก้าทัพ เมื่อปี พ.ศ. 2328 พม่ายกกำลังมาครั้งนี้ มีกำลังพลประมาณ 144,000 คน จัดเป็น 9 ทัพ แยกย้ายกันเข้าตีไทย 5 ทาง ทัพบกยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จำนวน 5 ทัพ ยกเข้ามาตีหัวเมืองทางเหนือ 2 ทัพ และยกเข้ามาตีหัวเมืองทางใต้ 2 ทัพ ทั้งหมดยกกำลังเข้าตีพร้อมกันในเดือนอ้ายของปี พ.ศ. 2328 ฝ่ายไทยเห็นว่าทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์มีกำลังมาก และสามารถเข้าถึงกรุงเทพได้ใกล้ที่สุด จึงจัดกำลังเข้าทำการรบ ดังนี้
ทัพที่ 1 ยกไปตั้งรับพม่าที่เมืองนครสวรรค์ เพื่อรับมือกับพม่าที่เดินทัพมาทางเหนือ
ทัพที่ 2 เป็นทัพใหญ่มีกำลังพลประมาณ 30,000 คน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงเป็นแม่ทัพ ยกทัพไปตั้งรับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัด เมืองกาญจนบุรี เพื่อรับมือกับพม่าที่เดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์
ทัพที่ 3 ยกไปตั้งรับพม่าที่เมืองราชบุรี เพื่อรับมือกับพม่าที่เดินทัพมาทางใต้
ทัพที่ 4 เป็นกองหนุนทั่วไป ตั้งอยู่ที่กรุงเทพ ฯ

ผลของสงคราม กองทัพไทย ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยการดำเนินกลยุทธที่ยอดเยี่ยมของฝ่ายไทย เริ่มตั้งแต่การวางกำลัง สะกัดการรุกของพม่าอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านการวางกำลัง ณ พื้นที่ที่สำคัญด้วยกำลัง ที่พอเหมาะและจังหวะเวลาถูกต้อง ทำให้สามารถเอาชนะพม่าที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าตัว โดยที่ฝ่ายพม่าต้องถอยทัพกลับไปตั้งแต่อยู่ที่ชายแดน เมื่อกองทัพหลวงของพม่าต้องถอยกลับไป กองทัพพม่าที่ยกมาทางเหนือ และทางใต้ก็ถูกกองทัพไทยปราบได้ราบคาบโดยง่ายในเวลาต่อมา

พม่ายกทัพมาตีไทยอีกครั้งในสงครามที่ท่าดินแดง แต่ก็พ่ายแพ้ไทยกลับไปเมื่อรบกันอยู่ได้เพียง 3 วัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีสงครามขนาดใหญ่ระหว่างไทยกับพม่าอีกเลย
กิจการทหารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ คงดำเนินตามแบบอย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการรวบรวมตำราพิชัยสงคราม ที่หลงเหลือจากการถูกทำลายจากพม่า มาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นแบบแผน ซึ่งก็ได้ใช้ต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ระเบียบแบบแผนในการแบ่งเหล่า และการจัดหน่วยทหาร การเตรียมกำลังพล การเกณฑ์ทหาร และกิจการด้านทหารอื่น ๆ คงดำเนินการตามแบบแผนของกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ มีการปรับปรุงในส่วนปลีกย่อย เช่น ให้รับราชการทหารเพียงปีละ 4 เดือน โดยหมุนเวียนเป็นวงรอบ 4 รอบ ๆ ละ 1 เดือน ดังที่ปรากฏในกฏหมายตราสามดวง เมื่อปี พ.ศ. 2327

สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

การทหารยังคงดำเนินตามแบบอย่างเดิม ในรัชสมัยของพระองค์มีการสงครามไม่มากนัก เมื่อปี พ.ศ. 2363 มีข่าวว่าพม่าจะยกทัพมารุกราน ทางด้านเมืองกาญจนบุรี จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกกำลังไปสะกัดข้าศึกสามแห่งด้วยกัน คือ ที่เมืองกาญจนบุรี เพื่อยับยั้งข้าศึกที่จะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ที่เมืองเพชรบุรี เพื่อยับยั้งข้าศึกที่จะเข้ามาทางด่านสิงขร และที่เมืองราชบุรี เพื่อรักษาเมืองราชบุรีไว้ แสดงให้เห็นถึงการใช้ยุทธศาสตร์ที่จะยับยั้งข้าศึกตามเส้นทางเดินทัพที่สำคัญไว้ที่ชายแดน ซึ่งได้ผลมาแล้วอย่างดี
ทางด้านตะวันออก ญวนซึ่งแต่เดิมเคยมีสัมพันธไมตรีกับไทย เริ่มขยายอาณาเขตเข้ามาในดินแดนกัมพูชา อาจกระทบกระเทือนถึงไทย จึงได้มีการจัดหาอาวุธปืนใหญ่และปืนเล็กมาใช้ในกองทัพเป็นการด่วน โดยจัดหาจากต่างประเทศ
เนื่องจากการศึกสงครามลดน้อยลงไปมาก จึงได้มีการลดหย่อนการเข้ารับราชการทหารลง โดยลดลงเหลือปีละ 3 เดือน จากเดิม 4 เดือน เมื่อปี พ.ศ. 2353