เทคนิคคลายเครียดรับปีใหม่
: น.พ.พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

 

 

 

 

 

       เรื่องโดย ... จิตกร บุษบา
      
       พรปีใหม่อย่างหนึ่งหรือทุกครั้งที่มีการอวยชัยให้พร สิ่งที่เรามักจะให้หรืออยากได้รับ ก็คือขอให้ร่ำให้รวย ขอให้สุขภาพแข็งแรง เจริญก้าวหน้า และมีบ้างที่เราพูดว่า “ ขอให้มีความสุข ”
      
       ความสุขเป็นสิ่งที่เราวิ่งหากันอย่างชุลมุน แต่มีสักกี่คนที่ได้พบ เพราะเราไปชุลมุนกับการคิดว่า ความรวยจะนำมาซึ่งความสุข การงานจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญก้าวหน้าจะนำมาซึ่งความสุข ฯลฯ
      
       เปล่าเลย... ความสุขอาจวิ่งชนเราอยู่ทุกวัน แต่เราไม่ทันรู้สึก ความสุขเป็นสิ่งที่สร้างได้ทุกวัน แต่เราไม่สร้างมัน ทุกวันเราจึงสะสมความเครียด เครียดเพราะอยากจะมีความสุข ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม ความเครียดจึงเป็นหน่วยปราบปรามความสุข เราจึงเครียดมากกว่าจะสุข
      
       ดังนั้นเพื่อกำจัดความเครียดให้หมดไป นายแพทย์พันธุ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ จึงรับเชิญจากมูลนิธิหมอชาวบ้าน และสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม ม.ธรรมศาสตร์ จัดบรรยายเรื่อง เทคนิคคลายเครียดรับปีใหม่ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจซึ่งท่านกล่าวว่า
      
      
       ความเครียดคือเครื่องบั่นทอน
      
       “ ส่วนมากคนเรามักจะเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอาเรื่องที่คนโน้นพูดคนนี้พูดมาเครียด แล้วแยกไม่ออกระหว่างความเครียดหรือ Stress กับความกดดัน คือ Pressure เช่น ได้รับมอบหมายงานใหม่ๆ จริงๆ เป็นความกดดันซึ่งหากท่านทำสำเร็จก็มีความสุขแล้ว มันมีทางออกของมัน ก็ไม่จำเป็นต้องเอาความกดดันนั้นมาคิดมาเครียด เพราะความเครียดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางออก เมื่อไม่มีทางออกมันก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เกิดความดันโลหิตสูง เกิดโรคนอนไม่หลับ เกิดโรคสมองเสื่อม ความจำไม่ดี ผู้ชายจะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ผู้หญิงจะไร้อารมณ์ เป็นโรคอ้วนเพราะบางคนเครียดแล้วกินเยอะ บางคนเครียดแล้วสูบบุหรี่ดื่มเหล้าเยอะ ก็จะเป็นโรคกระดูกพรุน เรียกว่าโรคต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นเหล่านี้มันป้องกันได้ไหม ป้องกันได้นะ หรือบางคนเป็นมะเร็งเพราะเครียด บางคนสงสัยว่า เครียดกับมะเร็งมันเกี่ยวอะไรกัน ”
      
       ความเครียดมี 2 ลักษณะ
      
       “ ความเครียดมันมีอยู่สองลักษณะ คือ เครียดทางกายกับเครียดทางใจ เครียดทางกายก็หมายความว่า ใช้งานมากไปจนกระทั่งมันเกิดความเครียดของอวัยวะต่างๆ ส่วนเครียดทางใจคือ ใช้สมองคิดมากไปจนกระทั่งมันเกิดความเครียดขึ้นมา แล้วรู้ไหมครับ ระหว่างสมองกับอวัยวะอื่นๆ อันไหนใช้พลังงานมากกว่ากัน สมองครับ เพราะฉะนั้นคนที่ใช้สมองคิดอะไรเครียดๆ มาก มันถึงเพลีย หมดแรง แล้วเกิดอาการต่างๆ ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาดูว่า ที่เรามีสุขภาพดีอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าร่างกายเรามันมีความสมดุลในตัวมันเอง มันจัดการกับเรื่องบางอย่างโดยตัวของมันเองได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องนั้นมันเกินเลยที่จะจัดการ มันก็จะเกิดปัญหาซึ่งเป็นผลมาจากความเครียด ”
      

 

       ฮอร์โมนกับผลของความเครียด
      
       “ เอาละ... มานั่งมองกัน เราตื่นเช้า ตื่นขึ้นมาปุ๊บเราเห็นแสงแดด แสงแดดมากระทบสายตา สัญญาณภาพส่งไปที่จอรับภาพของตา สัญญาณที่บอกว่าสว่างแล้วอันนั้นจะถูกส่งไปที่ต่อมไพเนียลในสมอง ถ้าเกิดมื้อเช้าท่านมีวัตถุดิบที่เรียกว่า ทริปโตเฟน ซึ่งมีมากในธัญพืช ไข่ นม สมองก็จะนำไปสร้างฮอร์โมนที่ชื่อ เซโรโทนิน ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้ถ้าร่างกายหลั่งออกมาแล้วจะทำให้ท่านรู้สึกว่ามีความสุขครับ กะชุ่มกะชวย กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง เพราะฮอร์โมนตัวนี้ ทำให้อารมณ์ดี สดชื่น
      
       “ ส่วนพลังงานที่ร่างกายใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดวันนั้น ได้มาจากการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ในระหว่างการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานนั้น มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ( Free Radical) ขึ้น เหมือนเวลาที่เราก่อไฟแล้วมันเกิดขี้เถ้า ขับรถแล้วเกิดเขม่าควันดำ มันคือของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน เจ้าอนุมูลอิสระนี้ถ้าเรียกประสาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าเป็น ประจุขาดรัก เพราะตัวมันเองไม่เต็มประจุ มันจึงต้องวิ่งหาคู่มาประกอบกับตัวมันให้เต็มอนุภาค มันก็วิ่งไปทั่วตัวเรา ระหว่างที่มันวิ่งพล่านไปทั่วนั้น มันก็เกิดการชนกับผนังเซลล์ปกติ ทำให้เซลล์เกิดความเสียหาย ผลที่ชัดเจนของเซลล์ที่เสียหายให้ดูจากผิว ผิวที่เหี่ยวย่นนั่นแหละคือเซลล์ที่เสียหาย
      
       “ ถ้ามันวิ่งทะลุเซลล์เข้าไปชนนิวเคลียสของเซลล์ได้ หรือชนดีเอ็นเอได้ ตัวนี้เราเรียกกันว่า เป็นแม่พิมพ์ที่จะพิมพ์ให้เซลล์ใหม่ๆ มีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ ถ้าแม่พิมพ์เสียหาย เซลล์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ๆ มันจะเหมือนเดิมไหมครับ ...ไม่เหมือนเดิมครับ นั่นคือกระบวนการที่เกิดเซลล์เนื้อร้ายหรือมะเร็ง
      
       “ คำถามต่อมาก็คือ ทำไมบางคนก็ไม่เห็นเป็นมะเร็ง คำตอบก็คือ ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกันซึ่งจะส่งทหารวิ่งไปทั่วตัวเหมือนกัน เจอเซลล์แปลกปลอมมันก็จับกินซะ ทีนี้ระบบภูมิคุ้มกันมันแข็งแกร่งเพราะเม็ดเลือดขาว แล้วเม็ดเลือดขาวมันก็เป็นเซลล์เหมือนกัน โอกาสที่มันจะถูกอนุมูลอิสระทำลายก็มี นั่นทำให้บางคนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะเดียวกันเมื่อภูมิคุ้มกันมันเสียระบบไป มันจะไปจับเซลล์มะเร็งกินไหวไหมครับ ไม่ไหว
      
       “ ดังนั้นกระบวนการที่เกิดเนื้อร้ายย่อมหมายถึงว่า ใครที่ใช้พลังงานมากก็จะเกิดของเสียมาก ถ้าของเสียไม่ได้รับการกำจัดมันก็จะคั่งอยู่ในร่างกาย แล้วทำให้เกิดผลร้ายต่างๆ ตามมา ทีนี้คนที่เครียดเกิดอะไรขึ้น คนที่เครียดจากการทำงาน การใช้สมอง หรืออะไรต่างๆ นั่น มันก็สร้างอนุมูลอิสระขึ้นมามาก...จริงไหมครับ ”
      
       อนุมูลอิสระคือ “ ขยะมีพิษ ”
      
       “ จำคุณ ย.โย่ง ได้ไหม หรือรู้จักนักวิ่งอเมริกันคนที่ชื่อแจ๊กเกอลีน จอยเนอร์ ไหมครับ สองท่านนี้เป็นนักกีฬา แต่หัวใจวายตายทั้งคู่เลยครับ เราก็สงสัยว่าทำไมนักกีฬาถึงหัวใจวายตาย พวกเขาน่าจะแข็งแรง ก็เพราะพวกเธอและพวกเขาออกกำลังกายอย่างไม่รู้ครับ เวลาที่เราออกกำลังกายเลือดจะวิ่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากกว่าไปเลี้ยงสมอง ตับ ไต แต่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทน กล้ามเนื้อมันกินพลังงานไหม ...กินครับ ฉะนั้นในตอนจบมันก็ย่อมมีอนุมูลอิสระในกล้าเนื้อเยอะ พอหยุดออกกำลังกายอนุมูลอิสระพวกนั้นจะไปไหน พวกมันก็จะเข้าสู่กระแสเลือด กระแสเลือดที่เคยไปกล้ามเนื้อก็จะกลับมาที่ไต ที่ตับ ที่หัวใจ ที่สมอง มันเอาอนุมูลอิสระกลับไปด้วยเป็นแพ็คเลย และถ้าเกิดในร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่พอ มันก็ทรุดโทรมและอาจตายได้โดยไม่รู้ตัวเอง อันนี้เป็นเรื่องทางกาย ต้องออกกำลังกายครับ แต่ออกให้พอเหมาะ และต้องดูแลร่างกายในส่วนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่ออกกำลังอย่างเดียว มันไม่พอ
      
       “ มาที่สมองบ้าง คนที่เครียดวันๆ มันทำอะไรครับ มันก็แค่คิดๆๆๆ ใช้สมองคิด กินพลังงานไหม ...กิน มันก็เกิดอนุมูลอิสระ หลังจากหยุดคิด อนุมูลอิสระไปไหนครับ มันก็ไปที่ตับ ไต หัวใจ ไปทั่วตัว ร่างกายมันก็พังด้วยประการฉะนี้
      
       “ เพราะฉะนั้นความเครียดที่เกิดขึ้นทั้งกับร่างกายและจิตใจมันก่อให้เกิดผลร้ายก็คือ เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมา แล้วมันก็ไปทำร้ายร่างกายเรา ทีนี้เราก็นั่งมองก่อนว่า ในชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆ เนี่ย ตกเย็นอนุมูลอิสระเยอะไหมครับ เยอะ... แต่ร่างกายคนเราฉลาดมาก เพราะพอแสงแดดหายไปจากโลก สัญญาณภาพส่งมาที่ตา ตาส่งไปที่ต่อมเลยครับ ต่อไพเนียลรู้ว่ามืดแล้ว หยุดสร้างเซโรโทนินเลยครับ หันกลับมาสร้างเมลาโทนินแทน เพราะฉะนั้นก็จะเกิดอาการตรงข้ามกับความกระฉับกระเฉง ก็คือเริ่มเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน อยากจะหลับครับ พอนอนหลับสนิทปุ๊บ ไอ้เจ้าเมลาโทนินตัวนี้ทำหน้าที่เหมือนรถกวาดขยะ ทั้งคืนที่เรานอนหลับ มันจะไปจัดการกินอนุมูลอิสระหมดเลย ตื่นเช้าขึ้นมาสดชื่นไหมครับ สังเกตนะครับว่า คืนไหนที่เรานอนหลับสนิทมากๆ ตื่นเช้าขึ้นมากระดี๊กระด๊าเลย กะชุ่มกะชวยเลย วันไหนที่นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเช้าขึ้นมาขอบตาคล้ำเลย ง่วงนอน มึนงงหมดเลย ”

 

 

       หลับสนิท “ ขยะพิษ ” ถูกกำจัด
      
       “ แล้วเวลาที่เรานอนหลับสนิทนั้น ต่อมใต้สมองที่ชื่อ พิทูอิทารี่ จะเริ่มกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนหลายอย่างออกมา ฮอร์โมนตัวหนึ่งซึ่งเหมือนยาอายุวัฒนะมาก ชื่อว่า โกร๊ธฮอร์โมน ( Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เป็นฮอร์โมนแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาวหรือฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต ซึ่งมันจะหลั่งตอนกลางคืนขณะหลับสนิทในความมืดครับ ดังนั้นใครที่หลับแต่หัวค่ำ มีเวลาหลับได้นาน ตื่นเช้าขึ้นมาแข็งแรงไหมครับ แข็งแรง...
      
       “ นอกเหนือจากโกร๊ธฮอร์โมนแล้ว มันก็ยังหลั่งฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนเพศหญิง ฮอร์โมนไธรอยด์ และฮอร์โมนอื่นๆ อีก ซึ่งผู้หญิงนั้นไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเป็นผู้โชคดี เพราะฮอร์โมนเพศหญิงนั้นมันเป็นสารต้านอนุมูลตัวที่สอง ซึ่งผู้หญิงมี แต่ผู้ชายไม่มี ให้สังเกตเถอะว่า ในวัยทำงานนั้น ให้งานหนักอย่างไรผู้หญิงก็ไม่ค่อยหัวใจวายตาย แต่พอถึงวัยทองเมื่อไหร่เท่ากันแล้ว เพราะหมดฮอร์โมนเอสโตรเจน
      
       “ นี่ก็คือผลที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจากการทำงานของร่างกายและพฤติกรรมของเรา ทีนี้ถ้าเกิดเราทำงาน เราเครียดมาก เราจะนอนหลับไหมครับ นอนไม่หลับแล้วร่างกายจะหลั่งเมลาโทนินไหมครับ มันจะหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนไหมครับ มันจะหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ไหมครับ เพราะฉะนั้น แค่การนอนไม่หลับอันเป็นผลมาจากที่เราเครียดมากไป เราก็เกิดปัญหาตามมาเต็มเลย แล้วอย่างนี้เราควรจะทำอย่างไรครับ มีวิธีเต็มเลย ”
      

 

 

       วิธีง่ายๆ ทำลาย “ ขยะพิษ ”
      
       “ เราจะทำอย่างไรถึงจะกำจัดผลร้ายอันเนื่องมาจากอนุมูลอิสระนี้ เราก็ต้องทำให้ตัวเราได้อนุมูลอิสระลดลง ถูกไหมครับ ทำอะไรก็ทำช้าๆ ใจเย็นๆ อย่ารีบ อย่าร้อนรน อย่าโหมงานหนักเกินไป ไม่แบ่งเวลาพักผ่อน
      
       “ เราต้องหมั่นกินพืชผักผลไม้ครับ กินพืชผักผลไม้เป็นประจำ ชนิดไหนที่กินเปลือกได้ก็จงกินเปลือกด้วย อย่าปอกทิ้ง น่าเสียดาย เพราะเหตุว่าพืชนั้นต่างจากมนุษย์ตรงที่ ถ้าเรายืนอยู่ตรงนี้แล้วมีมลพิษ ของเสียอะไรต่างๆ มา เราเดินหนีได้ แต่พืชมันหนีไม่ได้ มันจึงต้องสร้างสาระสำคัญขึ้นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งเพื่อการเจริญเติบโต อีกอย่างเพื่อต่อสู้กับสภาพแวดล้อม เพราะฉะนั้นถ้าเรากินพืชผักผลไม้มากๆ เราก็จะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระจากพืชผักผลไม้ คนโบราณเขามีภูมิปัญญามาก แต่เขาอาจอธิบายไม่ได้ เขาบอกว่าอยู่เกินอายุ 35 ให้กินผักๆ หญ้าๆ เป็นสำคัญ แล้วจะอายุยืน
      
       “ ต่อมาจงลด ละ เลิก การกินเนื้อสัตว์ใหญ่เท่าที่จะทำได้ ผมจะอธิบายให้ฟังว่าทำไม ท่านต้องรู้ว่าสัตว์ใหญ่ซึ่งมันรู้ว่ามันกำลังจะไปตาย มันเครียดนะครับ มันทุกข์นะครับ ไอ้หมูที่อยู่ในกระชุ วัวที่เดินเข้าคิวกันไปถูกเชือด มันร้องไห้ เคยเห็นไหมครับ ระหว่างที่มันเกิดความเครียดกะทันหันอย่างนั้น อะไรหลั่งออกมารู้ไหมครับ อะดรีนาลีนครับ อาจารย์ประเวศ วะสี ท่านเรียกอะดรีนาลีนว่า สารทุกข์ มันจะหลั่งเข้ามาอยู่ในกระแสเลือด แล้วมันจะอยู่อย่างนั้น ต้มก็ไม่ไป ตุ๋นก็ไม่ไป เผาก็ไม่ได้ กินเข้าไปได้เลย แล้วปัจจุบันคนเรากินเลือดกันเยอะ มันหวาน มันอร่อย กินเนื้อก็ต้องน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวก็ใส่เลือด ต้มเลือดหมู ข้าวมันไก่ก็ใส่เลือด กระเพาะปลาก็ใส่เลือด มันสารทุกข์ทั้งนั้นนี่ครับ ถ้าท่านลด ละ เลิกการกินเลือด กลัวจะขาดธาตุเหล็กใช่ไหม ในผักใบเขียวมีธาตุเหล็กมากมาย ไม่จำเป็นต้องกินจากเลือด เพราะในเลือดมันฮอร์โมนสารพัด สารพิษและของสกปรกทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงกรรมวิธีของมันด้วยซ้ำ อันนี้รวมทั้งเลือดทั้งเนื้อนะครับ ซึ่งผมคงไม่พูดถึงฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะที่จะปนเปื้อนมาอีก สารพิษทั้งนั้น
       “ ในการกินอาหาร ท่านต้องกินอย่างมีความสุขนะครับ ถ้าท่านกินอาหารได้อย่างมีความสุขมื้อละสิบห้านาที วันหนึ่งกินสามมื้อ ท่านมีความสุขไปแล้วสี่สิบห้านาที เวลากินอาหารอย่าพูดเรื่องความทุกข์หรือเรื่องที่ไม่สบายใจ อย่าอ่านหนังสือพิมพ์ อย่าฟังข่าว ให้มันมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเสียก่อน แล้วค่อยไปอ่านไปดูมัน อาหารช่วยคลายเครียดได้ครับ แต่มีเคล็ดลับว่าต้องกินน้อยๆ กินน้อยอายุยืน กินมากอายุสั้น และต้องกินมื้อเช้าให้มาก มื้อเย็นให้น้อย มื้อเย็นควรจะเป็นพืชผักมากกว่าเนื้อสัตว์ เพราะกินเข้าไปเดี๋ยวเดียวก็หลับแล้ว จะได้ย่อยง่ายๆ ไม่ท้องอืด หลับได้สบาย
      
       “ หมดจากเรื่องอาหารมาดูเรื่องอื่นต่อ เรื่องนอนหลับดีไหม ทำอย่างไรจะหลับสนิท ยิ่งผู้อาวุโสจะหลับยาก ตื่นง่าย เพราะสมองมันหลั่งเมลาโทนินลดลง เราต้องมีกระบวนการต่างๆ นานาเข้ามาช่วยให้นอนหลับ เช่น ลองเปลี่ยนห้องซิ เคยนอนห้องฝั่งหน้าบ้าน แหม...แม่ค้ามันด่ากันเหลือเกิน เดี๋ยวรถวิ่ง เดี๋ยวหมาเห่า เสียงดังตอนหนุ่มๆ สาวๆ เราไม่ตื่นหรอก แต่พอแก่แล้วมันตื่น ย้ายไปนอนห้องฝั่งหลังบ้านซึ่งมันเงียบกว่าดีไหม ไฟในห้องก็ไม่ควรใช้ไฟนีออนหรือไฟเดย์ไลท์ มันทำให้หลับยาก บรรยากาศในห้องก็ไม่ควรร้อนไปหรือหนาวไป ยึดหลักสะอาด สงบเข้าว่า
      
       “ มีเคล็ดลับอีกอย่างให้นอนหลับง่าย คืออาบน้ำเย็นก่อนให้สบายตัว แล้วอาบน้ำอุ่นตาม ถ้ามีอ่างอาบน้ำ ลองเปิดน้ำอุ่นลงในอ่าง แล้วหาน้ำมันหอมระเหย เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ แจสมีน (มะลิ) มาหยดลงไปซิ จริงๆ ฝรั่งเขาบอกว่ากลิ่นแซนเดอร์ ลูฟ กลิ่นดอกไม้จันซึ่งผมบอกว่าใช้กับคนไทยไม่ได้ครับ คนไทยได้กลิ่นนี้แล้วรู้สึกมันจะตาย (หัวเราะ) หรือกลิ่นกุหลาบก็ได้ นอนแช่น้ำอุ่นหลับตาสบายๆ นวดเนื้อนวดตัวเสียหน่อย เหยาะน้ำมันลงไปสักนิดก็ได้ มันจะได้เคลือบผิวเรา เสร็จแล้วไม่ต้องมาอาบน้ำเย็นซ้ำนะ ขึ้นมาแล้วเช็ดเนื้อเช็ดตัวนอนซะให้สบายใจ
      
       “ อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่เครียด ผ่อนคลาย และหลับสบายก็คือ ต้องฝึกควบคุมอารมณ์ ห้ามหอบงานกลับมาทำบนเตียงนอนเด็ดขาด บ้านคือสถานที่พักผ่อน ห้องนอนยิ่งไม่ต้องมีงาน คนในบ้านต้องคุยกันแบบสบายใจๆ อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาที่ไม่ได้อยากให้เรารู้ ก็ไม่ต้องไปรู้เรื่องของเขา หัดให้เกียรติและไว้ใจกัน เพราะอะไรครับ เพราะความเครียดส่วนใหญ่เกิดจากการไปรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ ไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็น ไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน แล้วก็เก็บมาเป็นอารมณ์
      
       “ หลักการควบคุมอารมณ์ง่ายๆ ก็คือ หยุดฟังเรื่องที่มันไม่จำเป็นต้องฟัง หยุดพูดเรื่องที่มันไม่จำเป็นต้องพูด หยุดมอง หยุดจับผิด หัดสำรวมกิริยาเหล่านี้เช่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตตรัสแต่ความจริง แต่ถ้าความจริงนั้นไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร หรือความจริงนั้นอาจก่อให้เกิดโทษหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตถาคตก็ไม่ตรัส นี่ก็คือหนทางแห่งความสุขซึ่งพระพุทธองค์ทรงชี้แนะมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ว่าเรื่องบางเรื่องถึงรู้ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูด พูดไปทำไมครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากจะเครียด บางเรื่องก็อย่าไปเห็นมัน อย่าได้ยินซะ บางเรื่องก็อย่าพูด เท่านี้เอง ให้ตั้งสติคิดไว้ว่าไม่มีอะไรที่จะได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก แม้กระทั่งตัวเราเอง ”
      
       และครั้นจะไม่ตบบั้นท้าย เอ๊ย...ตบท้ายว่าด้วยเรื่องรักๆใครๆ เสียหน่อย ก็ดูจะเป็นหมอพันธุ์ศักดิ์ตัวปลอมไปซะ คุณหมอพันธุ์ศักดิ์จึงแนะนำ 3 ข้อง่ายๆ ในการมี Sex ไม่ให้เครียดว่า
      
       “ จงมีเซ็กซ์ให้ถูกหลัก 3 ประการคือ 1. มีเซ็กซ์ให้ถูกคน 2. มีเซ็กซ์ให้ถูกเวลา และ 3. มีเซ็กซ์ให้ถูกสถานที่ จำเอาไว้ในครับ ถ้าผิดไปข้อใดข้อหนึ่งเครียดทันทีนะครับ เป็นเรื่องได้ทันทีนะครับ ขอบอกสั้นๆ แค่นี้ ถ้าใครทำได้ก็ไม่เครียดแล้ว สวัสดีปีใหม่ครับ ”