พระวินัยปิฎก
จตุตถปาราชิกสิกขาบท
เรื่อง ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปซึ่งเคยเห็นร่วมคบกันมา จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา สมัยนั้น วัชชีชนบท อัตคัตอาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีข้าวตายฝอย ต้องมีสลากซื้ออาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย ภิกษุเหล่านั้นคิดว่า บัดนี้ วัชชีชนบทอัตคัตอาหาร ฯลฯ พวกเราพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาตรด้วยอุบายอย่างไร ภิกษุบางพวกพูดว่า พวกเราจงช่วยกันอำนวยกิจการ อันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตรแก่พวกเรา พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ฯลฯ ภิกษุบางพวกพูดว่า ไม่ควร พวกเราจงช่วยกันนำข่าวสาส์น อันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์ พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตรแก่พวกเรา ฯลฯ ภิกษุบางพวกพูดว่า พวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์ว่า ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน ได้ทุติยฌาน ได้ตติยฌานจตุตถฌาน รูปโน้นเป็นโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ รูปโน้นได้วิชชา 3 ได้อภิญญา 6 เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา ฯลฯ
พวกภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นร่วมกันว่า การที่พากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน
แก่พวกคฤหัสถ์นี้ประเสริฐที่สุด แล้วพากันกล่าวชมซึ่งกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์ว่า ฯลฯ ครั้นต่อมาประชาชน เหล่านั้นพากันยินดีว่า เป็นลาภของพวกเรา พวกเราได้ดีแล้ว ที่มีภิกษุทั้งหลายผู้มีคุณพิเศษ อยู่จำพรรษา เพราะแต่ก่อน ภิกษุทั้งหลายของพวกเรา จะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย โภชนะของเคี้ยว ของลิ้ม น้ำดื่มชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่บริโภค ไม่ให้มารดา บิดา บุตร ภรรยา ฯลฯ ภิกษุเหล่านั้นจึงมีน้ำนวล อินทรีย์ผ่องใส สีหน้าสดชื่น ผิวพรรณผุดผ่อง
เป็นประเพณีที่ภิกษุทั้งหลาย ออกพรรษาแล้ว เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษา โดยล่วงไตรมาสแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรจีวร หลีกไปโดยมรรคาสู่เวสาลี เที่ยวจาริกโดยลำดับ ถึงเวสาลี ป่ามหาวัน กูฏาคารศาลา เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ภิกษุต่างทิศมาเฝ้า
สมัยนั้น พวกภิกษุ ผู้จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลาย เป็นผู้ซูบผอม ซูบซีด ผิวพรรณหมอง เหลืองขึ้นๆ เนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ส่วนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัดคุมุทา เป็นผู้มีน้ำนวล อินทรีย์ผ่องใส สีหน้าสดชื่น ผิวพรรณผุดผ่อง
การที่พระผู้มีพระภาคทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย เป็นพุทธประเพณี ครั้งนั้น ทรงตรัสถามภิกษุพวกฝั่งวัคคุมุทาว่า ร่างกายของพวกเธอพอทนได้หรือ ยังพอให้เป็นไปได้หรือ เป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่ายังพอทนได้ ยังพอให้เป็นไปได้ เป็นผู้พร้อมเพรียงกันร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
พุทธประเพณี
พระตถาดตทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ฯลฯ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถาม ภิกษุ พวกฝั่งวัคคุมุทาว่าพวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ฯลฯ ด้วยวิธีอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเนื้อความ
นั้นให้ทรงทราบ ภ. คุณวิเศษของพวกเธอนั่น มีจริงหรือ ภิ. ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกร โมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอ นั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชม อุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้องเล่า อันท้องพวกเธอคว้านด้วยมีดเชือดโคอันคมยังดีกว่า ที่พวกเธอกล่าวชม อุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลย ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร เพราะคนผู้คว้านท้อง พึงถึงความตาย หรือความทุกข์ เพียงแค่ตายซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรม ฯลฯ เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึง อบาย วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ฯลฯ ครั้นแล้วทรงกระทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดังนี้
มหาโจร 5 จำพวก
มหาโจร 5 จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก
1. มหาโจรบางคนในโลกนี้ย่อมปรารถนาว่า เราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคามนิคม และราชธานี เบียดเบียนกันเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ สมัยต่อมาเขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง ฯลฯ ฉันใด ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมปรารถนาว่า เราจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในควมนิคมราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะเคารพนับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลาน ปัจจัยเภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธออันภิกษุร้อยหนึ่ง ฯลฯ นี้เป็นมหาโจร จำพวกที่ 1 มีปรากฏอยู่ในโลก
2. อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาดตประกาศแล้ว
ย่อมยกตนขึ้น นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ 2 มีปรากฏอยู่ในโลก
3. อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ นี้เป็นมหาโจร จำพวกที่ 3 มีปรากฏอยู่ในโลก
4. อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย
ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารของสงฆ์ คืออาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฯลฯ นี้เป็นมหาโจรที่ 4 มีปรากฏอยู่ในโลก
5. ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง จัดเป็นยอดมหาโจรในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
ข้อนั้นเพราะภิกษุนั้นฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย
นิคมคาถา
ภิกษุใดประกาศตนอันมีอยู่โดยอาการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น อันภิกษุนั้นฉันแล้วด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายซึ่งเลวทราม ภิกษุผุ้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้ว บริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าวของชาววัฏฐะจะประเสริฐอะไร
ทรงบัญญัติปฐมบัญญัติ
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียน ภิกษุพวกฝั่งวัคคุมุทาโดยเอนกปริยาย แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ฯลฯ แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า เพราะเหตุนี้ เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการคือ ฯลฯ พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงว่าดังนี้
พระปฐมบัญญัติ 4
อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ
กล่าวอวดอุตตริมมนุสสธรรมอันเป็นความรู้
ความเห็น อย่างประเสริญ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า
อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาก็ตาม ไม่ถือเอาก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้นได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิกหาสังวาสไม่ได้
สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ
สมัยนั้น ภิกษุเป็นอันมาก สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้เห็นว่าเห็น ยังไม่ได้ถึงว่าถึง ยังไม่ได้บรรลุว่าบรรลุ ยังไม่ได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ ครั้นต่อมา จิตของเธอน้อมไป เพื่อความกำหนัดก็มี เพื่อความขัดเคืองก็มี เพื่อความหลงก็มี จึงรังเกียจว่า ฯลฯ พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่พระอานนท์ ๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ๆ ตรัสว่า มีอยู่เหมือนกัน ข้อที่ภิกษุทั้งหลายสำคัญมรรคผลที่ตนยังไม่ได้ว่าได้ แต่ข้อนั้นเป็นอัพโพหาริก ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งว่า พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระอนุบัญญัติ 4
อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า
ตนรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ สมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาก็ตาม ไม่ถือเอาก็ตาม
เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่านข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น
ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อย ๆ เป็นเท็จเปล่า ๆ
เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทวิภังค์
บทว่าอุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้ง ซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดีในเรือนอันว่างเปล่า
บทว่าความรู้ ได้แก่วิชชาสาม
บทว่ากล่าวอวด คือบอกแก่ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต ฯลฯ
บทว่า เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ คือยกเสียแต่เข้าใจว่าตนได้บรรลุ
บทภาชนีย์
ที่ชื่อว่า อุตตริมนุสสธรรมได้แก่ฌาณ ฯลฯ 10 ความยินดีในเรือนร่าง
ที่ชื่อว่าฌาณ ได้แก่ ปฐมฌาณ ตติยฌาณ จตุตถฌาณ
ที่ชื่อว่า วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อัปปณีหิตวิโมกข์
ที่ชื่อว่าสมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตสมาธิ อัปปณิตสมาธิ
ที่ชื่อว่าสมาบัติ ได้แก่ สูญญตสมาบัติ อนิมิตสมาบัติ อัปปณิตสมาบัติ
ที่ชื่อว่าญาณ ได้แก่ วิชชาสาม
ที่ชื่อว่ามรรคภาวนาได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8
ที่ชื่อว่าการทำให้แจ้งซึ่งผล ได้แก่การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล
ที่ชื่อว่าการละกิเลส ได้แก่ การละราคะ โทสะ โมหะ
ที่ชื่อว่า ความเปิดจิต ได้แก่ความเปิดจิตจาก ราคะ โทสะ โมหะ
ที่ชื่อว่าความยินดีในเรือนร่าง ได้แก่ความยินดีในเรือนร่างด้วยปฐมฌาณ ด้วยทุติยฌาณ ด้วยตติยฌาณ ด้วยจตุตฌาน
สุทธิกะ ฌาน
ปฐมฌาน
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมฌานแล้วด้วยอาการ 3 อย่างคือ 1 เบื้องต้นรู้ว่าจักกล่าวเท็จ 2 กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ 3 กล่าวแล้วก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ตนเข้าปฐมฌานแล้วด้วยอาการ 4 อย่างคือ ฯลฯ 4 อำพรางความเห็น ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จ ตนเข้าปฐมฌานแล้วด้วยอาการ 5 อย่างคือ ฯลฯ 5 อำพรางความถูกใจ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จ ตนเข้าปฐมฌานแล้วด้วยอาการ 6 อย่างคือ ฯลฯ 6 อำพรางความชอบใจ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมฌานแล้วด้วยอาการ 7 อย่าง ฯลฯ 7 อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมฌานอยู่ ตนเป็นผู้เข้าปฐมฌานได้แล้ว ตนเป็นผู้ได้ปฐมฌาน ตนเป็นผู้ชำนาญปฐมฌาน ตนทำปฐมฌานให้แจ้งแล้ว สาระสำคัญทำนองเดียวกับที่กล่าวแล้วข้างต้น
ทุติยฌาน
ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
ตติยฌาน
ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
จตุตถฌาน
ใจความทำนองเดียวกันกับปฐมฌาน
สุทธิกะ วิโมกข์
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
สุทธิกะ สมาธิิ
สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อปปณิหิตสมาธิใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
สุทธิกะ สมาบัติ
สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหติสมาบัติิ ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
สุทธิกะ ญาณทัสสนะ
วิชชา 3 ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
สุทธิกะ มรรคภาวนา
สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ใจความทำนองเดียวกันกับปฐมฌาน
สุทธิกะ อริยผล
โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล ใจความทำนองเดียวกับปฐมฌาน
สุทธิกะ การละกิเลส
สละราคะ สละโทสะ สละโมหะ ใจความทำนองเดียวกันกับปฐมฌาน สละ คาย พ้น ละ สลัด เพิก ถอน แล้ว
สุทธิกะ ความเปิดจิต
เปิดจากราคะ เปิดจากโทสะ เปิดจากโมหะ ใจความทำนองเดียวกันกับปฐมฌาน สละ คาย พ้น ละ สลัด เพิก ถอน แล้ว
ขัณฑจักร
ปฐมณาน ทุติยณาน ตติยฌาน จตุตถฌาน สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิตสมาบัติ วิชชา 3 สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปฐาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล สละราคะ สละโมหะ สละโทสะ เปิดจากราคะ เปิดจากโทสะ เปิดจากโมหะ ใจความทำนองเดียวกันกับปฐมณาน สละ คาย พ้น ละ สลัด เพิก ถอน แล้ว
ฯลฯ
พัทธจักร
1. ทุติยณาน และตติยณาน , จตุตถณาน สุญญติโมกข์ ฯลฯ เปิดจากโมหะ
ทุติยณาน และราคะ โทสะ โมหะ สละ คาย ปล่อย ละ เพิก สลัด ถอน แล้ว
ฯลฯ
พัทธจักร เอกมุลกนัย ท่านตั้งอุตตริมนุสสธรรมข้อหนึ่ง ๆ เป็นมูลแล้วเวียนไป โดยวิธี ท่านย่อไว้
พัทธจักร เอกมูลกนัย
1. ภิกษุรู้ อยู่กล่าวเท็จว่าจิตของเปิดจากโมหะ และตนเข้าแล้ว เข้าอยู่ เข้าได้แล้ว เป็นผู้ได้ เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งซึ่งปฐมณานด้วยอาการ 3, 4, 5, 6, 7, อย่าง ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
2. ภิกษุผู้รู้อยู่ ฯลฯ ซึ่งทุติยณาน ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
3. ภิกษุผู้รู้อยู่ ฯลฯ ซึ่งตติยณาน ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
ฯลฯ
28. ภิกษุผู้รู้อยู่ ฯลฯ และราคะตนสละแล้ว คายแล้ว ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
29. ภิกษุผู้รู้อยู่ ฯลฯ และจิตของตนเปิดจากราคะ ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
30. ภิกษุผู้รู้อยู่ ฯลฯ และจิตของตนเปิดจากโทสะ ฯลฯ ต้องอาบัติปาราชิก
พัทธจักร ทุมูลกนัย มีอุตตริมนุสสธรรม 2 ข้อ เป็นมูล ฯลฯ ทสมูลกนัย มีอุตตริมนุสสธรรม 10 ข้อเป็นมูล บัณฑิตพึงให้พิสดารเหมือนพัทธจักร เอกมูลกนัย
พัทธจักร สัพพมูลกนัย
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ตนเข้าแล้ว เข้าอยู่ เป็นผู้ได้เป็นผู้ชำนาญ ทำให้แจ้งซึ่งปฐมณาน ฯลฯ อรหัตตผล ราคะตนสละแล้ว ฯลฯ โทสะ โมหะ ตนสละแล้ว ฯลฯ จิตของตนเปิดจากราคะ โทสะ โมหะด้วยอาการ 3, 4, 5, 6, 7, อย่าง ต้องอาบัติปาราชิก
ขัณฑจักร แห่งนิกเขปบท วัตถุนิสสารกะ
1. ภิกษุผู้รู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่า ตนเข้าปฐมณานแล้วแต่กล่าวเท็จว่า ตนเข้าทุติยยณานแล้วด้วยอาการ 3, 4, 5, 6, 7, อย่าง เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติถุลลัจจัย
ฯลฯ
30. ภิกษุรู้อยู่ ฯลฯ แต่กล่าวเท็จว่าจิตของตนเปิดจากโมหะ เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติถุลลัจจัย
พัทธจักร เอกมูลกนัย แห่งวัตถุนิสสารกะ มีอุตตริมนุสสธรรมข้อหนึ่งเป็นมูล
ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่าตนเข้าทุติยณานแล้ว แต่กล่าวเท็จว่าตนเข้าตติยณานด้วยอาการ 3, 4, 5, 6, 7, อย่าง เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ฯลฯ
30. ภิกษุรู้อยู่.....แต่กล่าวเท็จว่า ตนเข้าปฐมณานแล้ว.....เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติถุลลัจจัย
มูลแห่งพัทธจักรที่ท่านย่อไว้
1. ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่า จิตของตนเปิดจากโมหะ แต่กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมณานแล้ว ฯลฯ เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติถุลลัจจัย
ฯลฯ
ขัณฑจักรทุมุลกนัย แห่งวัติถุนิสสารกะ มีอุตตริมนุสสธรรม 2 ข้อเป็นมูล
1. ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่าตนเข้าปฐมณานและทุติยณานแล้ว แต่กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมณานและตติยณานแล้ว ฯลฯ
29. ภิกษุรู้อยู่....แต่กล่าวเท็จว่า ตนเข้าปฐมฌานและจิตของตนเปิดจากโมหะ ฯลฯ
ฯลฯ
พัทธจักร ทุมุลกนัย แห่งวัตถุนิสสารกะ มีอุตตริมนุสสธรรม 2 ข้อเป็นมูล
1. ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่า ตนเข้าทุติยฌานแล้ว แต่กล่าวเท็จว่า ตนเข้าจตุตถฌานแล้ว ฯลฯ
ฯลฯ
29. ภิกษุรู้อยู่....แต่กล่าวเท็จว่า ตนเข้าปฐมฌานแล้ว ฯลฯ
พัทธจักร ทุมูลกนัย แห่งวัตถุนิสสารกะ ที่ท่านย่อไว้
1. ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าว จิตของตนเปิดจากโทสะ และโมหะ แต่กล่าวเท็จว่าตนเข้าปฐมฌานแล้ว ฯลฯ
ฯลฯ
29. ภิกษุรู้อยู่ .... แต่กล่าวเท็จว่า จิตของตนเปิดจากราคะ ฯลฯ
พัทธจักรแห่งวัตถุนิสสารกะมีอุตตริมนุสสธรรม 3 ข้อเป็นมูล 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ เป็นมูลก็ดี บัณฑิตพึงทำให้พิศดารเหมือนพัทธจักร มีอุตตริมนุสสธรรมข้อหนึ่ง ๆ เป็นมูล แห่งนิกเขปบททั้งหลายที่กล่าวไว้แล้ว ฉะนั้น พึงให้พิศดารเหมือนพัทธจักร มีอุตริมนุสสธรรมข้อหนึ่งเป็นมูล ที่ท่านให้พิศดารแล้วนั้นเถิด
พัทธจักร สัพพมุลกนัย มีอุตริมนุสสธรรมทุกข้อเป็นมูล
ภิกษุรู้อยู่ ประสงค์จะกล่าวว่าตน เข้าปฐมฌาน ฯลฯ เมื่อคนอื่นเข้าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติถุลลัจจัย
|