บทที่ ๑
บทบาทและเทคนิคการเป็นวิทยากร
การเป็นวิทยากรนั้นใคร ๆ ก็เป็นได้ แต่การเป็นวิทยากรที่ดีคงไม่ง่ายอย่างที่คิดกัน เพราะการทำหน้าที่วิทยากรมีความจำเป็นต้องอาศัยการพูดหรือการสื่อสารเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมเป็นอย่างดีก็คงจะทำหน้าที่วิทยากรได้ไม่สำเร็จหรือสำเร็จได้ก็ไม่ดีเปรียบไปแล้วการพูดก็เหมือนการว่ายน้ำ ถ้ามัวแต่อ่านหรือท่องตำราโดยไม่ลงน้ำหรือกระโดดลงน้ำเสียบ้างก็ไม่อาจจะว่ายน้ำเป็นได้เลย ผู้ที่ศึกษา หลักการ ทฤษฎี วิชาว่ายน้ำเพียงแต่อ่านตำราก็คงจะจมน้ำตายเมื่อต้องลงสระเสมือนผู้ที่ศรัทธาวิชาการพูด เพียงแต่ศึกษาทฤษฎีก็อาจตกม้าตายเมื่อขึ้นเวที
ดังนั้น การเป็นวิทยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทักษะ เทคนิคต่าง ๆ ในหลาย ๆ ด้าน เช่นการพูด การสื่อสาร การจัดกิจกรรม ฯลฯ ตลอดจนจะต้องเป็นผู้มีคุณลักษณะที่จำเป็นอีกมากมายซึ่งจะได้นำเสนอต่อไป
วิทยกรคือใคร
วิทยากร คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวการสำคัญ ที่จะทำให้ผู้เข้ารับการอบรม เกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดทักษะ เกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเรื่องที่อบรม จนกระทั่งผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้และสามารถจุดประกายความคิด เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของเรื่องหรือวิชานั้น ๆ
พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าวิทยากรควรมีบทบาทที่สำคัญหลายระการตามแผนภูมิต่อไปนี้
วิทยากร
(RESOURCE PERSON)
ผู้บรรยาย ผู้ทำให้เกิดการเรียนรู้
(LECTURER) (INSTRUCTOR)
ผู้สอน ผู้ฝึก
(TEACHER) (TRAIINER)
พี่เลี้ยง
( MENTOR )
เมื่อทราบความหมายและบทบาทของวิทยากรแล้วก็ควรพิจารณาด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นวิทยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพได้กรณีนี้มีผู้รู้ได้กล่าวถึงไว้อย่างหลากหลายต่างกรรมต่างวาระกันอันอาจจะสรุปรวมเป็นคุณสมบัติ ของวิทยากรที่ดีและมีประสิทธืภาพได้ดังนี้
๑ คุณลักษณะทั่วไป
๑ . มั่นใจในตนเอง เตรียมพร้อม ซ้อมดี มีสื่อและวิธีการ ที่เหมาะสม
๒ . เป็นคนช่างสังเกต คอยสังเกตพฤติกรรมทางกาย วาจา ตลอดจนกระบวนการกลุ่มของผู้เข้ารับการอบรม
๓ . มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
๔ . แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง
๕ . มีการวางแผนที่ดี ทั้งเนื้อหาและลำดับขั้นตอนการนำเสนอรวมทั้งสื่อและเครื่องมือการสื่อสาร
๖ . มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีและประสานงานเก่ง
๗ . มีบุคลิกภาพที่ดี
๘ . มีความเป็นกัลยาณมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเอง คอยช่วยเหลือด้วยน้ำใจ มีความเมตตา ยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคลและมีความเห็นใจของผู้เข้ารับากรอบรม
๙ . เป็นนักประชาธิปไตย มีความยืดหยุ่น รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่สรุปตัดบทง่าย ๆ เมื่อมีผู้เสนอความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
๑๐ . มีความจิรงใจในการถ่ายทอดความรู้
๑๑ . ปฏิบัติตนต่อผู้เข้ารับการอบรมอย่างเสมอภาค ทัดเทียม วางตนเหมาะสมกับทุกคน
๑๒ . มีแบบฉบับลีลาที่เป็นของตนเองยอมรับจุดเด่นและจุดด้อยของตนและ มึความภูมิใจและเข้าใจ ในบุคลิกภาพของตนเอง และใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ การเป็นวิทยากร
๒ . ต้องรู้จริง
๑ . ต้องเป็นคนรอบรู้ ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
๒ . ต้องรู้รายละเอียดในเรื่องนั้นอย่างเพียงพอ
๓ . ต้องเข้าใจเหตุผลของรายละเอียดนั้น
๔ . ต้องรู้สมมติฐานหรือความเป็นมาของสิ่งนั้น
๕ . ต้องสามารถประยุกต์สิ่งนั้นให้เห็นเป็นจริงได้
๓ . ถ่ายทอดเป็น
๑ . มีเทคนิคต่าง ๆ เช่น การบรรยาย การนำอภิปราย การสัมมนา กรณีศึกษา การจัดกิจกรรม ฯลฯ เพื่อทำให้เกิดความรู้ เข้าใจง่าย ได้สาระ
๒ . พูดเป็น คือ พูดแล้วทำให้ผู้ฟังเข้าใจตามที่พูดได้อย่างรวดเร็ว สามารถพูดเรื่องยาก ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย
๓ . ฟังเป็น คือ ตั้งใจฟัง ฟังให้ตลอด ขณะที่ฟังต้องควบคุมอารมณ์ ขณะที่ฟังอย่าคิดคำตอบทันที และเท่อฟัง จงฟัง เอาความหมายมากกว่าถ้อยคำ
๔ . นำเสนอเป็นประเด็นปละสรุปประเด็นให้ชัดเจน
๕ . มีอารมณ์ขัน สร้างบรรยากาศในการอบรมได้อย่างเหมาะสม
๖ . มีประสิทธิภาพในการอบรม สามารถเชื่อมโยงทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติได้ดี มองเห็นเป็นรูปธรรม
๗ . ใช้ภาษาพูดได้ดี ใช้ภาษาง่าย ๆ รู้จักเลือกภาษาให้ตรงกับเนื้อหาและตรงกับความต้องการและพื้นฐานความรู้ของผู้ฟัง
๔ . มีหลักจิตวิทยาในการสอนผู้ใหญ่
๑ . ความสนใจในการรับฟังจะเกิดขึ้นจากการรับรู้ถึงเรื่องที่วิทยากรจะพูดหรือบรรยาย
๒ . มุ่งประโยชน์ในการรับฟังเป็นสำคัญ
๓ . จะตั้งใจแลเรียนรู้ได้ดี ถ้าวิทยากรแยกเรื่องที่สอนออกเป็นประเด็น / ขั้นตอน
๔ . จะเรียนรู้ได้ดีถ้าได้ฝึกปฏิบัติไปด้วยพร้อม ๆ กับการรับฟัง
๕ . จะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าฝึกแล้วได้ทราบผลของการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว
๖ . จะ เรียนรู้ได้ดีเมื่อมีการฝึกหัดอยู่เสมอ
๗ . จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเปิดโอกาสให้ใช้เวลาในการทำความเข้าใจ อย่าเร่งรัด เพราะแต่ละคนมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน
๕ . มีจรรยาบรรณของวิทยากร
๑ . เมื่อจะสอนต้องมั่นใจว่ามีความรู้จิรงในเรื่องที่จะสอน
๒ . ต้องมุ่งประโยชน์ของผู้ฟังเป็นที่ตั้ง
๓ . ไม่ควรฉกฉวยโอกาสในการเป็นวิทยากรเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
๕ . ความประพฤติและการปฏิบัติตนของวิทยากร ควรจะสอดคล้องกับเรื่องที่สอน
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะที่สำคัญในการเป็นวิทยากรที่ควรเสนอไว้เพิ่มเติมอีกด้วยว่าวิทยากรที่ดีจะ
๑ . ต้องมีกิจกรรมมากกว่าการบรรยาย
๒ . ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี
๓ . ต้องมีสื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
๔ . ต้องมีกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา เวลา และตรงเวลา
๕ . ต้องให้คนติดใจในการเรียนรู้ มิใช่ติดใจในลีลาการแสดงเพราะวิทยากรไม่ใช่นักแสดง
๖ . ต้องคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่าวิทยากรมีหน้าที่ไปทำให้เขารู้อย่าไปอวดความรู้แก่เขาและวิทยากรไม่มีหน้าที่พูดให้คนอื่นงง
เทคนิคการเตรียมตัวเป็นวิทยากรที่ดี
บางคนเชื่อว่าการเป็นวิทยากรที่ดีเกิดจากพรสวรรค์แต่บางท่านก็เชื่อว่าเกิดจากพรแสวง จะโดยพรประเภทใดก็ตามวิทยากรที่ดีก็ควรจะรู้จักเทคนิควิธีการเตรียมตัว ซึ่งอาจกระทำได้หลายวิธีด้วยกันกล่าวคือ
๑ . การหาข้อมูล โดยวิธีต่าง ๆ เช่น
๑ . ๑ อ่านตำราหลาย ๆ ประเภท
๑ . ๒ ฟังจากคนอื่นเล่า หรือฟังจากเทปวิทยุ
๑ . ๓ ศึกษาจากวิดีทัศน์ รายการโทรทัศน์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
๒ . สะสมข้อมูลต่าง ๆ โดยจัดเก็บเป็นระบบหรือแบ่งเป็นประเภทเช่น
๒ . ๑ ประเภทเพลง
๒ . ๒ ประเภทคำขวัญ คำกลอน สุภาษิต คำคม คำพังเพย และคำปรพันธ์ต่าง ๆ
๒ . ๓ ประเภทคำผวน
๒ . ๔ ภาษาหักมุม ( คิดสวนทางเพื่อให้ผู้ฟังฮา )
๒ . ๕ ลูกเล่นเป็นชุด หรือประเภทนิทานสั้น ๆ
๒ . ๖ ประเภทเชาว์ เช่น คำถามอะไรเอ่ย ฯลฯ
๒ . ๗ ประเภทเกมหรือกิจกรรม
๓ . ศึกษาข้อมูลแต่ละประเภท พยายามจับประเด็นและหักมุมนำเข้าในเรื่องที่จะเสนอให้ได้
๔ . หัดเล่า ให้เพื่อนหรือคนอื่นฟังในวงเล็ก ๆ ก่อนโดยคำนึงถึง
๔ . ๑ การเริ่มเล่าให้เด็กฟังและขยายวงถึงผู้ใหญ่
๔ . ๒ ต้องพยายามหักมุมตอนท้ายให้ได้
๔ . ๓ ใช้น้ำเสียงที่เหมาะสมในการเล่า
๔ . ๔ ใช้ลีลาหรือกิริยาท่าทางประกอบการเล่า
อย่างไรก็ดีมีผู้เปรียบเทียบว่าการเป็นนักพูดหรือวิทยากรที่ดีก็เหมือนกับเด้กหัดขี่จักรยานนั่นเอง โดยยกตัวอย่างแสดงไว้ให้เห็นชัดเจนดังนี้
๑ . เด็กอยากได้จักรยาน : อยากเป็นวิทยากรมืออาชีพ
๒ . หัดขี่แล้วมักจะล้ม : ฝึกพูดอาจจะไม่สำเร็จในบางครั้ง
๓ . หัดขี่ให้เป็น : ฝึกพูดให้เป็นวิธีการ / หลักการ
๔ . ขี่ทุกวันก็จะเกิดความชำนาญ : ฝึกหรือแสดงบ่อย ๆ จะชำนาญ
|