โสฬสปัญหา พระสุตตันปิฎก

 
 
 


โสฬสปัญหา
พระสุตตันปิฎก ขุททกนิกาย พระสูตรว่าด้วยมาณพ ๑๖ คน

โสฬสปัญหา เป็นธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนา มีความลึกซึ้งทั้งในด้านอรรถะ คือ ความหมายทั้งในด้านพยัญชนะคือ ถ้อยคำสำนวน
โสฬสปัญหา เป็นการถามปัญหาของมาณพ ๑๖ คน ซึ่งพาวรีพราหมณ์ ผู้เป็นอาจารย์ ได้แต่งปัญหาให้ศิษย์ของตน ๑๖ คน ไปทูลถามพระผู้มีพระภาค เพื่อรู้ว่าจะเป็นผู้ตรัสรู้จริงหรือไม่ สูตรทั้งสิบหกจึงมีชื่อตามชื่อของมาณพทั้งสิบหก แต่ละสูตรจะแสดงคำถามและคำตอบเป็นคำฉันท์
วัตถุกถา

พราหมณ์พาวรี เป็นผู้เรียนจบมนต์ ปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีกังวล ได้ออกจากนครโกศลอันน่ารื่นรมย์ ไปสู่ทักขิณปถชนบท
พราหมณ์นั้นอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี อันเป็นพรมแดนแคว้นอัสสกะ และแคว้นมุฬกะ เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยการเที่ยวภิกขาและผลไม้
ชาวบ้านที่อาศัยพราหมณ์พาวรีนั้นก็เป็นผู้ไพบูลย์ พราหมณ์พาวรีได้บูชามหายัญด้วยส่วย อันเกิดแก่กสิกรรมเป็นต้นในบ้านนั้น ครั้นบูชามหายันต์แล้วได้กลับเข้าไปสู่อาศรม
พราหมณ์อื่นได้เขามาหาพราหมณ์พาวรีแล้วขอทรัพย์ ๕๐๐
พราหมณ์พาวรีได้เชื่อเชิญด้วยอาสนะไต่ถามถึงสุข และความไม่มีโรคแล้วกล่าวว่า ไทยธรรมวัตถุอันใดของเรา เราสละเสียสิ้นแล้ว ทรัพย์ ๕๐๐ เราไม่มี
เมื่อเราขอแล้วท่านไม่ให้ ในวันที่เจ็ดศีรษะของท่านจะแตกเจ็ดเสี่ยง
พราหมณ์ผู้หลอกลวงนั้น ทำกลอุบายแล้ว กล่าวคำให้เกิดความกลัว
พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้วก็เป็นทุกข์ ซูบซีดไม่บริโภคอาหาร ใจของพราหมณ์พาวรี ผู้มีจิตเป็นอย่างนั้น ย่อมไม่ยินดีในฌาน
เทวดาผู้ปรารถนาประโยชน์ เห็นพราหมณ์พาวรีมีทุกข์ หวาดกลัวจึงเข้าไปหาพราหมณ์พาวารีแล้วได้กล่าวว่า พราหมณ์นั้นเป็นคนโกหก ย่อมไม่รู้จักศีรษะ ต้องการทรัพย์ ไม่มีความรู้ในธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป
พราหมณ์พาวรีถามว่า ท่านรู้จักข้าพเจ้า ขอท่านจงบอกธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด
เทวดาตอบว่า แม้เราก็ไม่รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ความเห็นซึ่งศีรษะ และธรรมอันให้ศีรษะตกไป ย่อมมีแก่พระชินเจ้าทั้งหลายเท่านั้น
พราหมณ์พาวรีถามว่า บัดนี้ใครเล่าในปฐพีมณฑลนี้ย่อมรู้จักศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ขอท่านจงบอกบุคคลผู้รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด
เทวดาตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าศากยบุตร เป็นวงศ์พระโอกากราช เสด็จออกจากเมืองกบิลพัสดุ เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำสัตว์โลก เป็นผู้แสดงธรรมอันสว่าง ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุ อภิญญา และทศพลญาณครบถ้วน มีพระจักษุในสรรพธรรม ทรงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระพุทธเจ้าในโลก มีพระจักษุย่อมทรงแสดงธรรม ท่านจงไปทูลถามพระองค์เถิด พระองค์จักทรงพยากรณ์ปัญหานั้นแก่ท่าน

พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า สัมพุทโธ แล้วมีความเบิกบานใจ มีความโศกเบาบาง และได้ปิติอันไพบูลย์เกิดความโสมนัส จึงถามเทวดานั้นว่า พระโลกนาถนั้นประทับอยู่ในคามนิคม หรือในชนบทไหน เราทั้งหลายพึงไปนมัสการพระสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมกว่าสัตว์ได้ในที่ใด

เทวดาตอบว่า พระชินเจ้าผู้ศากยบุตร ทรงมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาประเสริฐกว้างขวาง ทรงปราศจากธุระ หาอาสวะมิได้ องอาจกว่านรชน ทรงรู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุศีรษะตกไป ประทับอยู่ในมณเฑียรสถานของชาวโกศล ในพระนครสาวัตถี

ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรีได้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ มาสั่งว่าท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา ความปรากฏแห่งพระสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ยากที่จะหาได้ในโลก ท่านทั้งหลายจงรับไปเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมกว่าสรรพสัตว์

พราหมณ์ผู้ศิษย์ทั้งหลายถามว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ข้าพเจ้าทั้งหลายได้แล้วจะพึงรู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระสัมพุทธเจ้าด้วยอุบายอย่างไร ขอท่านจงบอกอุบายที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้ไม่รู้เถิด

พราหมณ์พาวรีกล่าวว่า ก็มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ทั้งหลาย อันพราหมณาจารย์ทั้งหลาย พยากรณ์ไว้บริบูรณ์แล้วตามสำคัญว่า

ท่านผู้ใด มีมหาปุริสลักษณะเหล่านั้นในกายตัว ท่านผู้นั้นมีคติเป็นสองอย่าง มิได้มีคติเป็นสาม
คือ ถ้าอยู่ครองเรือน จะพึงครอบครองทั่วปฐพีนี้ จะทรงปกครองโดยธรรม โดยไม่ต้องใช้อาญาไม่ต้องใช้ศัสตรา

ถ้าออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมพุทธเจ้า มีกิเลศดังหลังอันเปิดแล้ว ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
ท่านทั้งหลายจงถามถึงชาติ โคตร ลักษณะ มนต์ และศิษย์เหล่าอื่นอีก และถามถึงศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปด้วยใจเท่านั้น เมื่อท่านทั้งหลายถามปัญหาด้วยใจแล้ว ก็จักแก้ด้วยวาจา

พราหมณ์ ผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน คือ ติสสเมตเตยยะ ปุณณกะ เมตตคู โธตกะ นันทะ เหมกะ โตเทยยะ กัปปะ ชตุกัณณี ผู้เป็นบัณฑิต ภัทราวุธะ อุทยะ โปสาลพราหมณ์ โมฆราชผู้มีเมธา ปิงคิยะ ผู้แสวงคุณอันใหญ่
ทั้งหมดนั้น เฉพาะคนหนึ่ง ๆ เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ ปรากฏแก่โลกทั้งปวง เป็นผู้เพ่งฌาน มีปัญญาทรงจำ เป็นธีรชน ผู้มีจิตอบรมด้วยวาสนา ทรงชฎาหนังเสือเหลือง

ได้ฟังคำพราหมณ์พาวรีแล้ว อภิวาทพราหมณ์พาวรี กระทำประทักษิณ แล้วบ่ายหน้าต่อทิศอุดรมุ่งไปยังที่ตั้งแห่งแคว้นมุฬกะ เมืองมาหิสสติ เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวนนคร เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต เมืองสาวัตถี อันเป็นเมืองอุดม เมืองเสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ เมืองกุสินารามันทิรสสถาน เมืองมันทิระ เมืองปาวา เมืองโภคนคร เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ และปาสาณกเจดีย์ อันเป็นรมณียสถาน ที่น่ารื่นรมย์ใจ
พราหมณ์มาณพทั้งหลายพากันยินดีรีบด่วนขึ้นสู่ เจดีย์บรรพต เหมือนบุคคลถูกความร้อนแผดเผายินดีร่มเงาฉะนั้น

สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ประหนึ่ง ราชสีห์บันลืออยู่ในป่าฉะนั้น
อชิตมาณพได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัศมี เรื่อเรื่องเหลืองอ่อน บริบูรณ์ดังดวงจันทร์วันเพ็ญ ได้เห็นพระอวัยวะอันบริบูรณ์ อชิตมาณพมีความร่าเริง ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ได้ทูลถามปัญหาด้วยใจว่า
ขอพระองค์จงตรัสบอกอ้าง (ชาติ) อายุ โคตร พร้อมทั้งลักษณะ และขอให้ตรัสบอกถึงความสำเร็จในมนต์ทั้งหลายแห่ง อาจารย์ของข้าพระองค์เกิด อาจารย์ของข้าพระองค์ยอมบอกมนต์แก่ศิษย์มีประมาณเท่าไร พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็พราหมณ์ผู้เป็น อาจารย์ของท่านนั้นมีอายุร้อยยี่สิบปี ชื่อพาวรีโดยโคตรลักษณะในกายมีสามประการ เรียนจบไตรเพท ในตำราทำนายมหาปุริสลักษณะคือ คัมภีร์ อิติหาส พร้อมทั้งคัมภีร์ นิฆัณฑุศาสตร์ และเกฏุกศาสตร์ ถึงซึ่งความสำเร็จในธรรมแห่งพราหมณ์ของตน ย่อมบอกมนต์ แก่ มานพ ๕๐๐
อชิตมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน ขอพระองค์จงค้นคว้า ลักษณะทั้งหลายของพราหมณ์พาวรี อย่าให้ข้าพระองค์มีความสงสัยเกิด

พราหมณ์พระองค์เจ้าตรัสว่า ดูก่อนมานพพราหมณ์พาวรีนั้นย่อมปกปิดมุขมณฑล (หน้า) ด้วยชีวหาได้ มีอุณาโลมชาติในระหว่างคิ้ว มีคุยหฐานอยู่ในฝัก ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด
ชนทั้งปวงไม่ได้ยินใครๆ ผู้ถามเลย ได้ฟังปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพยากรณ์แล้ว คิดพิศวงอยู่เกิดความโสมนัส ประนมอัญชลี (สรรเสริญ) ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอะไรหนอ เป็นเทวดา หรือ เป็นพรหม หรือเปนท้าวสุชัมบดีจอมเทพ เมื่อปัญหาอันผู้ถามด้วยใจ ไฉนมาแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้

อชิตมาณพทูลถามด้วยใจต่อไปว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระหมณ์พาวรีถามถึงธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ขอพระองค์ตรัสพยากรณ์ข้อนั้น กำจัดความสงสัยถึงข้าพระองค์ผู้เป็นฤาษีเสียเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า อวิชชาชื่อว่าธรรมเป็นศีรษะ วิชชาประกอบด้วย ศรัทธา สติ สมาธิ ฉันทะและวิริยะ ชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องให้ศีรษะตกไป

ลำดับนั้น อชิตมาณพมีความโสมนัสเป็นอันมาก เบิกบานใจ กระทำหนังเสือเหลือง เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบบาทยุคล ด้วยเศียรเกล้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ผู้มีพระจักษุ พราหมณ์พาวรีผู้เจริญ มีจิตเบิกบาน ดีใจพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย ขอไหว้พระยุคลบาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ พราหมณ์พาวรีพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย จะเป็นผู้ถึงความสุขเถิด ถึงแม้ท่านก็จงเป็นผู้ถึงความสุข จงเป็นอยู่สิ้นกาลอยู่สิ้นกาลนานเถิด
อชิตมาณมีโอกาส นั่งลงประนมอัญชลีทูลปัญหาแรกแก่พระตถาคต ณ ที่นั่งฉะนี้แล

 

อชิตมาณพปัญหาที่ ๑

โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ในที่มืด ? เพราะอะไรเป็นเหตุ จึงไม่มีปัญหาเห็นปรากฏ ? พระองค์ตรัสว่า อะไรเป็นเครื่องฉาบไล้สัตวโลกนั้นให้ติดอยู่ และตรัสว่า อะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตวโลกนั้น ?
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า โลกคือ หมู่สัตว์ อันอวิชชาคือ ความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้แล้ว จึงหลงอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่าง ๆ และความประมาท เลินเล่อ จึงไม่มีปัญหาเห็นปรากฎ เรากล่าวว่าความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตวโลกให้ติดอยู่ และกล่าวว่าทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตวโลกนั้น
อ. ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากอันเป็นดุจกระแสน้ำ หลั่งโลกไปตามอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้เพราะธรรมอะไร ?
พ. เรากล่าวว่า สติเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากนั้น และความอยากนั้นจะละได้ เพราะปัญญา
อ. ปัญญา สติ กับนามรูปนั้น จะดับไป ณ ที่ไหน ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระเจ้า
พ. เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึง ที่ดับนามรูปสิ้นเชิง ไม่มีเหลือแก่ท่าน เพราะวิญญาณดับไปก่อนนามรูปจึงดับไป ณ ที่นั้นเอง
อ. ชนผู้มีธรรมได้ พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้ยังต้องศึกษาอยู่สองพวกนี้มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอทูลถามถึง ความประพฤติของชนสองพวกนั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพเจ้า
พ. ภิกษุผู้มีธรรมได้พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้นั้นยังต้องศึกษาอยู่ ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิริยบถ


ติสสเมตเตยมาณพปัญหาที่ ๒

ใครชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ เต็มตามประสงค์ในโลกนี้ ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรน ของใครไม่มีใครรู้ ส่วนข้างปลายทั้งสอง (คือ อดีตกับอนาคต) ด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) พระองค์ตรัสว่าใครเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงความอยากอันผูกใจสัตวในโลกนี้ ดุจด้วยเป็นเครื่องเย็บผ้าให้ตัดกันไปได้

พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สำรวมในกามทั้งหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโดยชอบแล้วดับเครื่องร้อน กระวน กระวาย เสียได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ เต็มความประสงค์ในโลกนี้ ความอยากชึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนของภิกษุนั้นแลไม่มี ภิกษุนั้นแลรู้ส่วนปลายทั้งสอง ด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง เรากล่าวว่าภิกษุนั้นแลเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นแลล่วงความอยากอันผูกใจสัตวไว้ในโลกนี้ ดุจด้วยเป็นเครื่องเย็บผ้าให้ติดกันไปได้


ปุณณกมาณพปัญหาที่ ๓

บัดนี้มีปัญหามาถึงพระองค์ผู้หาความหวาดหวั่นมิได้ รู้เหตุที่เป็นรากเหง้าสิ่งทั้งปวง ข้าพระองค์ขอทูลถาม หมู่มนุษย์ในโลกนี้คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไรจึงบูชายัญ บวงสรวงเทวดา ขอพระองค์จงตรัสบอกความนั้น แก่ข้าพระเจ้า

พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา
ป. หมู่มนุษย์เหล่านั้น ก็ไม่ประมาทในยัญของตน จะข้ามพ้นชาติได้หรือไม่ ?
พ. หมู่มนุษย์เหล่านั้น มุ่งลาภที่ตนหวังไว้ จึงพูดสรรเสริญการบูชายัญ รำพันถึงสิ่งที่ตนใคร่ดังนั้น ก็เพราะอาศัยลาภ เรากล่าวว่า ผู้บูชายัญเหล่านั้น ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในภพ ไม่ข้ามชาติชราไปได้
ป. ถ้าผู้บูชายัญเหล่านั้น ข้ามพ้นชาติชราเพราะยัญของตนไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นใครเล่าในเทวโลกหรือไม่มนุษย์โลก ข้ามชาติชนานั้นได้แล้ว
พ. ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนในโลกไหน ๆ ของผู้ใดไม่มี เพราะได้พิจารณาเห็นธรรม ที่ยิ่งและหย่อนในโลก
เรากล่าวว่า ผู้นั้นสงบระงับแล้ว ไม่มีทุจริตความประพฤติชั่ว อันจะทำให้มัวหมอง ดุจควันไฟอันจับเป็นเขม่า ไม่มีกิเลศอันจะกระทบจิต หาความอยากทะเยอทะยานมิได้ ข้ามพ้นชาติไปได้แล้ว

 

เมตตคูมาณพปัญหาที่ ๔

ข้าพเจ้าขอทูลถาม ขอพระองค์จงตรัสบอกข้อความที่จะทูลถามนั้นแก่ข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าทราบว่า พระองค์ถึงที่สุดจบไตรเพท มีจิตอันได้อบรมดีแล้ว ทุกข์ในโลกหลายประการ ไม่ใช่แต่อย่างเดียวนี้ มีมาแล้วแต่อะไร ?

พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกแก่ท่านตามรู้เห็น ทุกข์ในโลกนี้ มีอุปธิคือ กรรม และกิเลสเป็นเหตุ ล้วนเกิดมาก่อนแต่อุปธิ ผู้ใดเป็นคนเขลา ไม่รู้แล้วทำอุปธินั้นให้เกิดขึ้น ผู้นั้นย่อมถึงทุกข์เนือง ๆ เหตุนั้นเมื่อรู้เห็นว่า อุปธิเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ อยากกระทำให้เกิดมี
ม. ข้าพระเจ้าขอทูลถามข้ออื่นอีก อย่างไรผู้มีปัญญาจึงข้ามพ้นห้วงทะเลใหญ่ คือ ชาติ ชรา และโศก พิไรรำพันเสียได้ ? ขอพระองค์จงทรงทรงแก้ข้อนั้นประทานแก่ข้าพระเจ้า
พ. เราจักแสดงธรรมที่จะพึงเห็นแจ้งด้วยตนเองในอัตภาพนี้ ไม่ต้องพิศวงตามคำของผู้อื่นว่า คืออย่างนี้ ที่บุคคลได้ทราบแล้ว จักเป็นผู้มีสติดำเนินข้ามความอยาก อันให้ติดอยู่ในโลกเสียได้แก่ท่าน
ม. ข้าพระเจ้ายินดีธรรมที่สูงสุดนั้นเป็นอย่ายิ่ง
พ. ท่านรู้อย่างใดอย่างหนึ่งในส่วนเบื้องบน (คือ อนาคต) ในส่วนเบื้องต่ำ (คือ อดีต) ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) จงบรรเทาความเพลิดเพลิน ความยึดมั่นในส่วนเหล่านั้นเสีย วิญญาณเองท่านจะไม่ตั้งอยู่ในภพ ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติไม่เลินเล่อ ได้ทราบแล้ว ละความถือมั่นว่าของเราได้สียแล้ว จักละทุกข์คือ ชาติ ชรา และโศกพิไรรำพันในโลกนี้ได้
ม. ธรรมใดอันไม่มีอุปธิ พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์คงจะละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าพระองค์ ด้วยตั้งใจจะให้ทรงสั่งสอน ข้าพระเจ้าเป็นนิตย์ไม่หยุดหย่อนเหมือนอย่างนั้นบ้าง
พ. ท่านรู้ว่าผู้ใดเป็นพราหมณ์ ถึงที่สุดจบไตรเพท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ ผู้นั้นแลข้ามล่วงเหตุแห่งทุกข์ ดุจห้วงทะเลอันใหญ่นี้ได้แน่แล้ว ครั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นคนไม่มีกิเลสอันตรึงจิต สิ้นความสงสัย ผู้นั้นครั้นรู้แล้วถึงที่สุด จบไตรเพทในศาสนานี้ ละธรรมที่เป็นเหตุติดข้องอยู่ในภพน้อยภพใหญ่เสียได้แล้ว เป็นคนมีความอยากสิ้นแล้ว ไม่มีกิเลสอันกระทบจิต หาความอยากทะเยอทะยานมิได้ เรากล่าวว่าผู้นั้นแล ข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว