พระวินัยปิฎก
ทุติยปาราชิกสิกขาบท
เรื่องพระธนิยะกุมภการบุตร
พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นภิกษุหลายรูป ทำกุฏีมุงบังด้วยหญ้า ณ เชิงภูเขาอิสิคิสิ แล้วอยู่จำพรรษา ท่านธนิยะ ภุมภการบุตรก็ทำกุฏีมุงบังด้วยหญ้า แล้วอยู่จำพรรษา ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้ว ได้รื้อกุฏี เก็บหญ้าและตัวไม้ไว้ แล้วหลีกไปสู่จาริกในชนบท ส่วนท่านธนิยะเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต คนหาบหญ้า คนหาฟืน ได้รื้อกุฏีเสียแล้วขนหญ้าและตัวไม้ไป แม้ครั้งที่สองและครั้งที่สาม ท่านได้มีความคิดว่าเหตุการณ์ได้เกิดถึง สามครั้งแล้ว เรานี้เป็นผู้สำเร็จศิลปะในการช่างหม้อ เราพึงขยำโคลนทำกุฏีสำเร็จ
ด้วยดินล้วนเสียเอง แล้วท่านจึงขยำโคลนทำกุฏีด้วยดินล้วนแล้วรวบรวมหญ้าไม้
และโคมัยมาเผากุฏีนั้นจนงดงามน่าชม มีสีแดงเหมือนแมลงค่อมทอง มีเสียงเหมือนกระดึง
พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นกุฏีนั้น จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลาย ครั้นภิกษุเหล่านั้นทูลให้
ทรงทราบแล้ว พระองค์ทรงติเตียนว่า การกระทำของโมฆบุรุษนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่
กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียดเบียนหมู่สัตว์มิได้มีแก่
โมฆบุรุษนั้นเลย พวกเธอจงไปทำลายกุฏีนั้น พวกเพื่อนพรหมจารีชั้นหลัง อย่าถึงความเบียดเบียน
หมู่สัตว์เลย อันภิกษุไม่ควรทำกุฏีด้วยดินล้วน ภิกษุใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุเหล่านั้นรับพุทธาณัติแล้ว
พากันไปที่กุฏีนั้นแล้วทำลายเสีย พระธนิยะจึงถามว่า พวกท่านทำลายกุฏีของผมเพื่ออะไร
ภิ. พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ทำลาย
ธ. ทำลายเถิด ถ้าพระผู้มีพระภาคผู้ธรรมสามีรับสั่งให้ทำลาย
กาลต่อมา พระธนิยะได้ดำริว่า เราพึงขอไม้เขามาทำกุฏีไม้ ครั้นแล้วท่านจึงไปหาพนักงานรักษาไม้
และขอไม้เขามาทำกุฏี
จ. ไม้ที่จะพึงถวายท่านนั้นไม่มี มีแต่ไม้ของหลวงที่สงวนไว้สำหรับซ่อมแปลงพระนคร เก็บไว้ใช้ในคราวมีอันตราย ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสั่งให้พระราชทานไม้เหล่านั้น ท่านจงให้คนขนไปเถิด
ธ. ไม้เหล่านั้น พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแล้วพนักงานรักษาไม้คิดว่า พระสมณเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม กล่าวคำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม แม้พระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงเลื่อมใสในพระสมณเหล่านี้ยิ่งนัก พระธนิยะย่อมไม่บังอาจกล่าว สิ่งที่พระเจ้าแผ่นดิน ยังไม่ได้พระราชทานว่า พระราชทานแล้ว จึงยอมพระธนิยะสั่งให้ตัดไม้เหล่านั้น เป็นท่อนน้อยใหญ่ บรรทุกเกวียนไป แล้วนำไปทำกุฏีไม้
วัสสการพราหมณ์ตรวจราชการ
วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ในมคธรัฐไปตรวจราชการ ในกรุงราชคฤห์ ได้เข้าไปหาพนักงานป่าไม้ แล้วถามว่า ไม้หลวงที่สงวนไว้อยู่ที่ใด พนักงานป่าไม้ตอบว่า ไม้เหล่านั้น พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานแก่พระธนิยะไปแล้ว วัสสการพราหมณ์ไม่พอใจ
จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลถามเรื่องการพระราชทานไม้หลวงนั้นแก่พระธนิยะ
พ. ใครพูดอย่างนั้น
ว. พนักงานป่าไม้พูด พระพุทธเจ้าข้า
พ. ถ้าเช่นนั้นจงให้คนไปนำพนักงานป่าไม้มา
วัสสการพราหมณ์จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ จองจำเจ้าพนักงานรักษาไม้มา
พระธนิยะ เห็นเจ้าพนักงานรักษาไม้ ถูกเจ้าหน้าที่จองจำนำ ไปจึงถามสาเหต ุเมื่อทราบแล้ว พระธนิยะจึงได้เข้าไปสู่ พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จเข้าไปหาพระธนิยะ อภิวาท แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควร ตรัสถามว่า ไม้หลวงที่สงวนไว้นั้น พระองค์ได้ถวายแก่พระธนิยะจริงหรือ
ธ. จริงอย่างนั้น
พ. โยมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีกิจมาก แม้ถวายแล้วก็ระลึกไม่ได้ ขอได้โปรดให้ระลึกได้ด้วย
ธ. ครั้งพระองค์ครองราชย์ใหม่ ๆ ได้ทรงเปล่งวาจาว่า หญ้าไม้และน้ำข้าพเจ้าถวายแก่สมณะและ
พราหมณ์ทั้งหลาย ขอให้สมณะพราหมณ์ทั้งหลายโปรดใช้สอยเถิด
พ. โยมระลึกได้ สมณะพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้มีความละอาย มีความรังเกียจใคร่ต่อสิกขามีอยู่
คำกล่าวนั้นโยมหมายถึงหญ้าไม้และน้ำนั้น อยู่ในป่าไม่มีใครหวงแหน พระคุณเจ้านั้นย่อมสำคัญเพื่อจะนำไม้
ที่เขาไม่ได้ให้ไปด้วยเลศนั้น พระเจ้าแผ่นดินเช่นโยมจะพึงฆ่า จองจำ หรือเนรเทศซึ่งสมณะหรือ
พราหมณ์อย่างไรได้ นิมนต์กลับไปเถิด พระคุณเจ้ารอดตัวเพราะบรรพชาเพศแล้ว แต่อย่าทำอย่างนั้นอีก
ประชาชนเพ่งโทษติเตียนโพนทะนา
คนทั้งหลายเพ่งโทษว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร เหล่านี้ไม่ละอาย ทุศีล พูดเท็จ พระสมณะเหล่านี้ยังไม่ปฏิญาณว่า เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวคำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ติเตียนว่า ความเป็นสมณะย่อมไม่มีแก่พระสมณะเหล่านี้
แม้พระเจ้าแผ่นดินยังหลอกลวงได้ ไฉนจักไม่หลอกลวงคนอื่นเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ
ติเตียนบรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ใคร่ต่อสิกขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระธนิยะว่า เธอได้ถือเอาไม้หลวง
ที่เขาไม่ได้ให้ไป จริงหรือ พระธนิยะทูลรับว่า จริง พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า โมฆบุรุษ
การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ มิใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ฯลฯ
สมัยนั้น มีมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาเก่าคนหนึ่ง บวชในหมู่ภิกษุ พระองค์จึงตรัสถามว่า พระเจ้า
พิมพิสารจับโจรได้แล้ว ประหารชีวิตบ้าง จองจำบ้าง เนรเทศบ้าง เพราะทรัพย์ประมาณเท่าใด ภิกษุ
รูปนั้นกราบทูลว่า เพราะทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง เพราะของควรค่าหนึ่งบาทบ้าง เกินบาทหนึ่งบ้าง
พระพุทธเจ้าข้า ในสมัยนั้นทรัพย์ 5 มาสก ในกรุงราชคฤห์เป็นหนึ่งบาท ครั้นพระผู้มีพระภาค
ทรงติเตียนพระธนิยะโดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษแห่งการเป็นคนเลี้ยงยาก บำรุงยาก มักมาก
ไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแก่ความเป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มักน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่เหมาะสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมมีกถา ที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุ ทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ 10 ประการ คือ ความรับว่าดีแห่งสงฆ์ 1 เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ 1 ฯลฯ พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้
พระปฐมบัญญัติ
2. ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ถึงประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นขโมย ในเพราะถือเอาทรัพย์ อันเจ้าของไม่ได้ให้ เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์ อันเจ้าของไม่ได้ให้ เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ก็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
เรื่อง พระฉัพพัคคีย์
สมัยนั้น พระฉัพพัคคียได้ลักห่อผ้าของช่างย้อมแล้วนำมาแบ่งปันกัน ภิกษุทั้งหลายพากันพูดว่า พวกท่านเป็นผู้ที่บุญมาก เพราะผ้าเกิดแก่พวกท่านมาก
ฉ. บุญพวกผมจักมีแต่ไหน พวกผมได้ลักห่อผ้าของช่างย้อมมา
ภิ. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เหตุใดพวกท่านจึงไปลักห่อผ้าของช่างย้อมมา
ฉ. จริงเช่นนั้น แต่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเฉพาะในเขตบ้านไม่ได้บัญญัติไปถึงในป่า
ภิ. พระบัญญัตินั้นย่อมเป็นได้เหมือนกันทั้งนั้น การกระทำของพวกท่านไม่เหมาะ ฯลฯ
ครั้นภิกษุเหล่านั้น ติเตียน พระฉัพพัคคีย์โดยเอนกปริยายแล้ว ได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติอนุบัญญัติ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ฯลฯ พวกเธอพึงยกสิกขานี้ขึ้นแสดงว่าดังนี้
พระอนุบัญญัติ 2
ก. ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้
ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ฯลฯ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า ทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ มีอธิบายว่า ทรัพย์อันใดอันเจ้าของไม่ได้ให้ ไม่ได้ละวาง
ยังรักษาปกครองอยู่ ยังถือกรรมสิทธิ์อยู่ว่าเป็นของเรา ยังมีผู้หวงแหน
บทว่าด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ได้แก่ จิตคิดขโมย คิดลัก ฯลฯ
บทว่า ถือเอา เอาไป เอาลง ยังอิริยาบทให้กำเริบ ให้เคลื่อนจากฐาน ให้ล่วงเลยเขตหมาย
ที่ชื่อว่าเห็นปานใด คือ หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี
ที่ชื่อว่า โจร มีอธิบายว่า ผู้ใดถือเอาสิ่งของอันเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา 5 มาสกหรือเกินกว่าก็ดี
ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย
บทภาชนีย มาติกา
ทรัพย์อยู่ในดิน ตั้งอยู่บนดิน ลอยอยู่ในอากาศ ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ตั้งอยู่ในน้ำ
เรือและทรัพย์ที่อยู่ในเรือ ยานและทรัพย์ที่อยู่ในยาน ทรัพย์ที่ตนนำไป สวนและทรัพย์ที่อยู่ในสวน ที่อยู่
ในวัด นาและทรัพย์ที่อยู่ในนา พื้นที่และทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ อยู่ในบ้าน ป่าและทรัพย์ที่อยู่ในป่า น้ำ ไม้
ชำระพัน ต้นไม้ เจ้าป่า ทรัพย์ที่มีผู้นำไป ที่เขาฝากไว้ ภาษี สัตว์มีชีวิต สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์สี่เท้า
สัตว์มีเท้ามาก สัตว์สองเท้า ภิกษุผู้สั่ง ภิกษุผู้รับของฝาก การชักชวนกันไปลัก การนัดหมาย การทำนิมิต ฯ
ภูมมัฏฐวิภาค
ทรัพย์ตั้งอยู่ในแผ่นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่ฝังกลบไว้ในแผ่นดิน ภิกษุมีไถยจิต คิดจะลักทรัพย์ เที่ยวแสวงหาเพื่อนก็ตาม แสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ตัดไม้หรือเถาวัลย์
ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น คุ้ยโกยขึ้นซึ่งดินร่วน จับต้องหม้อ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้หม้อไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย
ทำให้หม้อเคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต หย่อนภาชนะของตนลงไป ถูกต้องทรัพย์
ควรแก่ถึง 5 มาสก หรือเกินกว่า ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว จับที่สุดยกขึ้น
ดึงครูดออกไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้พ้นปากหม้อโดยที่สุด แม้ชั่วเส้นผม ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถย
จิตดื่มเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ควรแก่ค่า 5 มาสก หรือเกินกว่า ด้วยประโยคอันเดียว
ต้องอาบัติปาราชิก ทำลายเสีย ทำให้หกล้น เทเสีย ทำให้บริโภคไม่ได้ ในที่นั้นเองต้องอาบัติทุกกฏ
กัลฏฐวิภาค
ทรัพย์ตั้งอยู่บนพื้นดิน ได้แก่ทรัพย์ที่เขาวางไว้บนพื้น ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักทรัพย์ เที่ยวแสวงหาเพื่อน เดินไป ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก
อากาสัฏฐวิภาค
ทรัพย์ลอยอยู่ในอากาศ ได้แก่ทรัพย์ที่ไปในอากาศ ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
เที่ยวแสวงหาเพื่อน เดินไป หยุดอยู่ ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก
เวหาสัฏฐวิภาค
ทรัพย์ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ได้แก่ทรัพย์ที่แขวนไว้ในที่แจ้งแม้บนเชิงรองบาตร ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
อุทกัฏฐวิภาค
ทรัพย์ตั้งอยู่ในน้ำ ได้แก่ทรัพย์ที่เขาเก็บไว้ในน้ำ ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ เที่ยวแสวงหาเพื่อน เดินไป ดำลง โผล่ขึ้น ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต จับดอกอุบล เง่าบัว ปลา หรือเต่า ที่เกิดในน้ำ มีราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก
นาวัฏฐวิภาค
เรือ ได้แก่ พาหนะสำหรับข้ามน้ำ ทรัพย์ที่อยู่ในเรือ ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ แก้เครื่องผูก แก้เครื่องผูกแล้ว ลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก
ยานัฏฐวิภาค
คาน ได้แก่ คานหาม รถ เกวียน เตียงหาม ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
ภารัฏฐวิภาค
ทรัพย์ที่ตนนำไป ได้แก่ ภาระบนศรีษะ ที่คอ ที่สะเอว ที่หิ้วไป ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง ภาระบนศรีษะ อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวอาบัติถุลลัจจัย ลดลงสู่คอ อาบัติปาราชิก จับต้องการะที่เอว อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ถือไปด้วยมือ อาบัติปาราชิก
อาราปัฏฐวิภาค
สวน ทรัพย์ในสวน ได้แก่ ทรัพย์ที่เขาเก็บไว้ในสวน โดยฐาน 4 คือ ฝังอยู่ในดิน 1 ตั้งอยู่บนดิน 1 ลอยอยู่ในอากาศ 1 แขวนอยู่ในที่แจ้ง 1 ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ จับต้องรากไม้
เปลือกไม้ ใบไม้ ผลไม้ ที่เกิดในสวนนั้น ได้ราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อน อาบัติปาราชิก ภิกษุตู่เอาที่สวน อาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยแก่เจ้าของอาบัติถุลลัจจัย เจ้าของทอดธุระว่าจักไม่เป็นของเรา อาบัติปาราชิก ภิกษุฟ้องร้องยังโรงศาล ยังเจ้าของให้แพ้ อาบัติปาราชิก ถ้าแพ้เจ้าของอาบัติถุลลัจจัย
วิหารัฏฐวิภาค
ทรัพย์อยู่ในวัด ได้แก่ ทรัพย์ที่เขาเก็บไว้ในวัดโดยฐาน 4 ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
เขตตัฎฐวิภาค
บุพพัณชาติ หรือ อปรัณณชาติ เกิดในที่ใด ที่นั้นชื่อว่า นา ทรัพย์ที่อยู่ในนา ภิกษุใดมีไถยจิต ฯลฯ ภิกษุปักหลัก ขึงเชือก ล้อมรั้ว หรือ ถมคันนาให้รุกล้ำ อาบัติทุกฏ เมื่ออีกประโยคหนึ่งจะสำเร็จ อาบัติถุลลัจจัย เมื่อประโยคนั้นสำเร็จ อาบัติปาราชิก
วัตถุฏฐวิภาค
พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่สวน พื้นที่วัด ทรัพย์อยู่ในพื้นที่ ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
คามัฏฐวิภาค
ทรัพย์อยู่ในบ้าน ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
อรัญญัฏฐ
ป่า ได้แก่ ป่าที่มนุษย์หวงห้าม ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ ภิกษุมีไถยจิตจับต้องไม้เถาวัลย์ หญ้า ที่เกิดในป่านั้น ได้ราคา 5 มาสก หรือมากกว่า ฯลฯ
อุทกวิภาค
น้ำ ได้แก่ น้ำที่อยู่ในภาชนะ หรือที่ขังอยู่ในสระโบกขรณี หรือในบ่อ ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก หย่อนภาชนะของตนลงไปถูกต้อง น้ำ ได้ราคา 5 มาสก หรือมากกว่า อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ทำให้ไหลเข้าภาชนะของตน อาบัติปาราชิก ภิกษุทำลายคันนา อาบัติทุกกฏ ทำลายคันนาแล้ว ทำน้ำให้ไหลออกไป ได้ราคา 5 มาสก หรือ เกินกว่า อาบัติปาราชิก ทำให้น้ำไหลเกิน 1 มาสก หรือหย่อนกว่า 5 มาสก อาบัตถุลลัจจัย
ทันตโปณวิภาค
ไม้ชำระพัน ได้แก่ ที่ตัดแล้วและยังไม่ได้ตัด ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
วนัปปติวิภาค
ต้นไม้ เจ้าป่า ได้แก่ ต้นไม้ที่คนทั้งหลายหวงห้าม เป็นไม้ที่ใชสอยได้ ภิกษุมีไถยจิตตัด อาบัติทุกกฏ ทุกครั้งที่ฟัน เมื่อมีการฟันอีกครั้งหนึ่งจะสำเร็จ อาบัติถุลลัจจัย เมื่อการตัดฟันนั้นสำเร็จ อาบัติปาราชิก
หรณวิภาค
ทรัพย์มีผู้นำไป ได้แก่ ทรัพย์ที่ผู้อื่นนำไป ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ ภิกษุคิดว่าจักนำทรัพย์ พร้อมกับคนผู้นำทรัพย์ไป แล้วให้ย่างเท้าเก้าที่หนึ่งไป อาบัติถุลลัจจัย ให้ย่างเท้าก้าวที่สองไป อาบัติปาราชิก ภิกษุคิดว่าจักเก็บทรัพย์ที่ตก แล้วนำทรัพย์นั้นให้ตก มีไถยจิต จับต้องทรัพย์ที่ตก อันได้ราคา 5 มาสก หรือ
เกินกว่า อาบัติทุกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก
อุปนิธิวิภาค
ทรัพย์ที่เขาฝากไว้ ได้แก่ ทรัพย์ที่ผู้อื่นให้เก็บไว้ ภิกษุรับของฝาก เพื่อเจ้าของกล่าวขอคืน ภิกษุกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้รับของไว้ อาบัติทุกกฏ ยังความสงสัยให้เกิดแก่เจ้าของ อาบัติถุลลัจจัย เจ้าของทอดธุระว่าไม่ให้แก่เรา อาบัติปาราชิก ภิกษุฟ้องยังโรงศาล ฯลฯ
สุงกขาตวิภาค
ด่านภาษี ได้แก่ สถานที่ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งไว้ ภิกษุผ่านเข้าไปในด่านภาษีนั้น แล้วมีไถยจิตจับต้องทรัพย์ที่ควรเสียภาษี ซึ่งมีราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวย่างเท้า ก้าวที่หนึ่งล่วงด่านภาษีไป อาบัติถุลลัจจัย ย่างเท้าก้าวที่สอง ล่วงด่านภาษีไป อาบัติปาราชิก ภิกษุยืนอยู่ภายในด่านภาษี โยนทรัพย์ให้ตกนอกด่านภาษี อาบัติปาราชิก หลบเลี่ยงภาษี อาบัติทุกกฏ
ปาณวิภาค
สัตว์มีชีวิต หมายถึงมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจ ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ ภิกษุคิดว่าจักพาให้เดินไปแล้วก้าวเท้าที่หนึ่ง อาบัติถุลลัจจัย ให้ก้าวเท้าที่สอง อาบัติปาราชิก
อุปทวิภาค
สัตว์ไม่มีเท้า ภิกษุมีไถยจิตจับต้องสัตย์ไม่มีเท้า มีราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า ฯลฯ
ทวิปทวิภาค
สัตว์ 2 เท้า ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ
จตุปทวิภาค
สัตว์ 4 เท้า ภิกษุมีไถยจิต ฯลฯ คิดว่าจักพาเดินไปแล้วก้าวที่ 1, 2, 3 อาบัติถุลลัจจัย ก้าวที่ 4 อาบัติปาราชิก
พหุปทวิภาค
สัตว์มีเท้ามาก ภิกษุมีไถยจิต จัขต้องสัตว์นั้นมีราคา 5 มาสก หรือ เกินกว่า ฯลฯ ภิกษุคิดว่า จักเดินนำไปแล้วย่างเท้าก้าวไป อาบัติถุลลัจจัย ทุก ๆ ก้าว ที่ 4
อาบัติปาราชิก
โอจรกวิภาค
ภิกษุผู้สั่ง ภิกษุสั่งกำหนดทรัพย์ว่า ท่านจงลักทรัพย์ชื่อนี้ อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้รับคำสั่งนั้น ลักทรัพย์มาได้ ต้องอาบัติปาราชิก ทั้ง 2 รูป
โอณิรักขวิภาค
ภิกษุผู้รับของฝาก ภิกษุมีไถยจิตจับต้องทรัพย์นั้น มีราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า ฯลฯ
สังธารวหารวิภาค
การชักชวนกันไปลัก ได้แก่ ภิกษุหลายรูปชักชวนกัน แล้วรูปหนึ่งลักทรัพย์มาได้ อาบัติปาราชิกทุกรูป
สังเกตกัมมวิภาค
การนัดหมาย ภิกษุทำการนัดหมายว่าท่านจงลักทรัพย์นั้น ตามคำนัดหมายนั้น ในเวลาเช้า เย็น กลางคืน กลางวัน อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักทรัพย์นั้นตามคำนัดหมายนั้น อาบัติปาราชิกทั้งสองรูป ภิกษุผู้ลักทรัพย์นั้น ได้ก่อนหรือหลังคำนัดหมายนั้น ผู้นัดหมายไม่อาบัติ ผู้ลักอาบัติปาราชิก
นิมิตกัมมวิภาค
การทำนิมิต ภิกษุทำนิมิตนั้น อาบัติปาราชิกทั้ง 2 รูป ภิกษุลักทรัพย์นั้นได้ก่อนหรือ หลังนิมิตนั้น ผู้ทำนิมิตนั้นไม่อาบัติ ผู้ลักอาบัติปาราชิก
อาณัติติกประโยค
ภิกษุสั่งภิกษุว่าท่านลงลักทรัพย์ชื่อนั้น อาบัติทุกกฎ ภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์นั้นแน่
แต่ลักทรัพย์อย่างอื่นมา ภิกษุผู้สั่งไม่อาบัติ ภิกษุผู้ลักอาบัติปาราชิก ถ้าภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์อย่างอื่น แต่ลักทรัพย์นั้นมา
อาบัติปาราชิกทั้ง 2 รูป ถ้าภิกษุผู้ลักเข้าใจทรัพย์อย่างอื่น จึงลักทรัพย์อย่างอื่นมา ภิกษุผู้สั่งไม่อาบัติ ภิกษุผู้ลักอาบัติปาราชิก ภิกษุสั่งภิกษุว่า ท่านจงบอกแก่ภิกษุชื่อนี้ว่า ภิกษุชื่อนี้จงไปบอกภิกษุผู้มีชื่ออย่างนี้ว่า ภิกษุผู้มีชื่ออย่างนี้จงไปลักทรัพย์ชื่อนี้มา ดังนี้อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้รับคำสั่งบอกแก่ภิกษุนอกนี้ อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักรับคำภิกษุผู้สั่งเดิม อาบัติถุลลัจจัย ภิกษุหลักลักทรัพย์นั้นมาได้ อาบัติปาราชิกทุกรูป ภิกษุสั่งภิกษุว่าท่านจงบอกแก่ภิกษุชื่อนี้ว่า ภิกษุชื่อนี้จงไปบอกแก่ภิกษุผู้มีชื่ออย่างนี้ว่า ภิกษุผู้มีชื่อย่างนี้จงไปลักทรัพย์ชื่อสิ่งนี้มา อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักทรัพย์นั้นมาได้ ภิกษุผู้สั่งเดิมไม่อาบัติ ภิกษุผู้สั่งต่อและภิกษุผู้ลัก อาบัติปาราชิก ถ้าภิกษุรับคำสั่งให้ลักทรัพย์ไปแล้วกลับมาบอกว่า ผมไม่อาจลักทรัพย์นั้นได้ ภิกษุผู้นั้นสั่งใหม่ว่า ท่านสามารถเมื่อใด จงลักทรัพย์นั้นเมื่อนั้น อาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักทรัพย์นั้นมาได้ อาบัติปาราชิกทั้ง 2 รูป ถ้าภิกษุผู้สั่งให้ลักทรัพย์ ครั้นสั่งไปแล้วเกิดความร้อนใจ แต่ไม่พูดให้ได้ยินว่าอย่าลักเลย ภิกษุผู้ลักทรัพย์นั้นมาได้ อาบัติปาราชิกทั้งสองรูป แต่ถ้าเกิดความร้อนใจ แล้วพูดให้ได้ยินว่าอย่าลักเลย ภิกษุผู้ลักทรัพย์ตอบว่า ท่านสั่งผมแล้ว แล้วลักทรัพย์นั้นมาได้ ภิกษุผู้สั่งไม่อาบัติ ภิกษุผู้ลักอาบัติปาราชิก ถ้าภิกษุผู้รับสั่งนั้น รับคำว่าดีละแล้วงดเสีย ไม่อาบัติทั้งสองรูป
อาการแห่งอวหาร
อาการ 5 อย่าง
ปาราชิกาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของ ไม่ได้ให้ด้วยอาการ 5 อย่างคือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน 1 มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน 1 ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า 1 ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก 1 ถุลลัจจัยาบัติพึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ ฯลฯ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคาเกินกว่า 1 มาสก หรือหย่อนกว่า 5 มาสก 1 ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ ทำให้ไหว อาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติถุลลัจจัย 1 ทุกฏาบัตร พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ ฯลฯ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคา 1 มาสกหรือน้อยกว่า ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ ทำให้ไหวให้เคลื่อนจากฐานอาบัติทุกกฏ
อาการ 6 อย่าง
ปาราชิกกาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการ 6 อย่าง คือ
มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน 1 มิใช่ถือเอาด้วยวิสาสะ 1 มิใช่ขอยืม 1 ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า 1 ไถยจิตเกิดขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ อาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว อาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติปาราชิก 1 ถุลลัจจัย พึงมีแก่ภิกษุ ฯลฯ ทรัพย์ที่มีค่าน้อยได้ราคาเกินกว่า 1 มาสก หรือหย่อนกว่า 1 ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ ทำให้ไหว อาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐานอาบัติปาราชิก ทุกกฏอาบัติ ถึงมีแก่ภิกษุ ฯลฯ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคา 1 มาสก หรือหย่อนกว่า 1 ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ ทำให้ไหว ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติทุกกฏ
อาการ 5 อย่าง
ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ ทรัพย์อันมิใช่ของผู้อื่นหวงแหน 1 มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน 1 ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา 5 มาสก หรือเกินกว่า 1 ไถยจิตปรากฏขึ้น 1 ภิกษุลูบคลำ ทำให้ไหว ให้เคลื่อนจากฐาน อาบัติทุกกฏ ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุ ฯลฯ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคา 1 มาสก หรือหย่อนกว่า 1 ฯลฯ
วินีตวัตถุ อุทานคาถ รวม 144 เรื่อง
|