ยังไม่ถึงคราวตาย
ขณะนั้นข้าพเจ้ามีอายุประมาณ 11 ขวบ เป็นปี พ.ศ. 2474กำลังเป็นเด็กนักเรียน อยู่โรงเรียน วัดสุปัฏตนาราม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อโรงเรียนปิดเทอม ข้าพเจ้าก็ได้ไปอยู่กับบิดามารดา ซึ่งขณะนั้นกำลังทำสวนอยู่บ้านเพียวเพ้า อยู่ข้างฝั่งน้ำมูล ข้าพเจ้าได้สมัครเป็นลูกเสือเหมือนกับเพื่อนักเรียนหลายๆคน และได้ใช้แม่น่ำมูลเป็นที่ฝึกหัดการว่ายน้ำเพื่อให้เกิดความชำนาญ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนเด็กๆ ด้วยกันกำลังหัดว่ายน้ำอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ตั้งใจจะจะให้ชนะเพื่อนเด็กคนอื่นๆ เพราะความชนะนั้นเป็นนิสัยของข้าพเจ้าอยู่แล้ว
ในวันนั้นเองปรากฏการณ์ข้าพเจ้าจะต้องจารึกอยู่ในห้วงห้วงหัวใจของข้าพเจ้าอย่างไม่มีวันบลืมได้เลย และเป็นความหวาดเสียวอย่างไม่มีอะไรจะมาเปรียบเทียบได้เลย นั้นคือ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังว่ายน้นำเพื่อนไปข้างหน้าไกลออกไปๆ จนเพื่อนจะกลับเข้าฝั่งกันหมดแล้ว เหลือข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว
ว่าน้ำไปจนถึบงเพือบครั้งแม่น้ำขณะนั้นเองปรากฏสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นบังหน้าข้าพเจ้าอย่างฉับพลันสัตว์ประหลดตัวนั้นใหญ่มาก ยาวประมาณ 6 เมตร สีดำทั้งตัว มิใช่ดำธรรมดา แต่มีสีเป็นเหลื่อมๆ เป็นประกายวับๆ ส่วนด้านหลังของมันเป็นตะโกเหมือปลาเป็นหยักๆ แต่สีขาว หางาของเป็นเหมือนปลา หัวของมันเหมือนปลาแต่หัวด้วยมากคือหัวสั้นมากนั้นเอง ส่วนตาของมันลุกกลมใหญ่ประมาณเท่าผลส้ม สีแดงแซ้ดทีเดียว
มันเป็นการตกใจสุดขีดของข้าพเจ้า จนถึงกับมือเท้าอ่อนหมดกำลังในทันที ได้จมดิ่งลงไปที่ก้นคลองลงไปอยุ่กับด้นซึ่งแม่น้ำนั้นก็ลึกมากเลย ทีเดียว ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ก้นคลองนั้น มันทำให้ข้าพเจ้าหมดความรู้สึกตัวไปขณะหนึ่ง และมันเป้นอันตรายเหลือเกิดเพราะอยู่ในน้ำไม่สามารถจะหายใจได้ แต่มันก็เป็นเรื่องอัศจจรย์ในตัวของข้าพเจ้าจนพูดไม่ถูกว่าอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้ามีความรนู้สึกโดยฉับพลัน มือเท้ากลัยแข็งแรงขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าใช้เท้าอย่างแรงจนพ้นน้ำขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์
ในขณะพวกเพื่อนๆข้าพเจ้าจนไปนั้น พวกเด้กๆกับผู้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งน้ำนั้นได้มองไปที่สัตว์ประหลาดที่ลอยขวางแม่น้ำอยู่ ทั้งมองเห็นข้าพเจ้าว่ายน้ำเข้าไปหากัน ได้พอกันตกใจอย่างมาก พร้อมใจกันตะโกนเรียกข้าพเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวแหงนมองสัตว์ประหลาดนั้น เตรียมตัวจะหนีกลับมามือเท้าจึงได้อ่อนลงและจมดิ่งลงไป
พวกเพื่อนๆ เด็กๆ และผู้ใหญ่ๆที่อยู่บนฝั่งได้มองเห็นสภาพเช่นนั้น ต่างก็ตกใจและเข้าใจว่าข้าพเจ้าจนน้ำตายแล้ว หรือถูกสัตว์ประหลาดนั้นกินไปแล้ว ได้เอะอะโวยวายกันเป็นการใหญ่ บ้านของดิดามารดาของข้าพเจ้าก็อยู่ไม่ไกลจากฝั่งนั้น เมื่อบิดามารดาของข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนกับมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ท่านทั้ง 2 มิได้รีรอเดินทั้งวิ่งลงจากเรื่องไปที่ฝั่งนั้นเมื่อทราบว่าข้าพเจ้ากำลังจะจมน้ำตายอยู่นั้น ท่านยิ่งเกิดความวุ่นวายร้องให้คนช่วย ท่านนั้งสองก็ยังได้เห็นสัตว์ประหลาดลอยน้ำอยู่ ยิ่งเกิดความกลัวจนตัวสั่น ถึงอย่างนั้นท่านก็รีบหาเรือลากมาให้คนรีบพายไปช่วยข้าพเจ้า
แต่ขณะนั้นข้าพเจ้าพ้นภัยแล้ว กำลังว่ายน้ำอย่างรวดเร็วจนถึงฝั่งบิดามารดาโผเข้ากอดอุ้มข้าพเจ้าซึ่งกำลังเหนื่อยอยู่ในอ้อมอกของท่านทั้งขู่และปลอบใจ โมโหที่ข้าพเจ้าอวดดีจนจะตาย ดีใจที่ข้าพเจ้ารอดตายมาได้ นี้แหละความรักของบิดามารดา ที่บุตรธิดาควรเทิดทูนบูชาเหนือสิ่งใด |