ชีวิตเด็กบ้านนอก

มีวัวอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งชื่อไอ้ไหม ตัวหนึ่ง ไอ้เขียว เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกับเด็กคนหนึ่ง คือข้าพเจ้าเอง ตอนเช้าจะมีเด็กๆ จำนวนมากต่างก็ไล่ควายและวัวออกจากคอก เป็นทิวแถว หญิงบ้างชายบ้าง เด็กๆเหล่านี้อาจุไม่เกิน 12-13 ปีกันทั้งนั้น ทุกคนถือมีดด้วยยาวปลายมีดป้านๆ ใช้แทนเสียมได้ กับได้รับห่อข้าวจากผู้ปกครองห่อด้วยใบตอง ในห่อข้าวก็มีกับข้าวบ้างเล้กน้อย ส่วนมากก็ของแห้ง เป็นน้ำพริกกับปลาร้าสับ ส่วนผักไปหาเองข้างหน้า

 

ผูงวัว ควาย เดินกันไปเป็นทิวแถว พวกเด็กก็เดินขั้นกันเป็นระยะคอยต้อนวัวควายของตนให้เดินตามกันไป แต่พวกวัวควายมันก็ไม่ตื้อกันเท่าไหร่ เพราะมันรู้ว่าจะพาพวกมันไปหาอาหาร (หญ้า) พวเราก็จะเล่นกันไปเดินกันไปตามประสาเด็ก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ อันเป็นแหล่งรวมของพวกเลี้ยงวัว ควายที่จะนำมาปล่อยกันไว้ หลายหมู่บ้าน วัวควายจำนวนร้อย

 

เมื่อฝูงวัวถูกปล่อยเข้าทุ่งหญ้าแล้ว พวกมันก็จะกินหญ้าเพลินไปในทุ่งหญ้านั้นไม่หนีไปไหน ก็เป็นโอกาสขอวพวกเราเด็กทั้งหลายจะหาวิธีการเล่นกันต่างๆ อย่างฉันมิตรและสนุกสนาน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร พวกเราจะต้องมีสติอยู่อย่างหนึ่งคือ คอยฟังเกราะหรือโปง ที่ทำด้วยปล้องไม่ไผ่และมีลุกอยู่ข้างใน มัดไว้ที่คอยของวัวควายทุกตัว แต่ละลูกของเกราะเสียงมันจะดังออกมาไกลมาก มัดไว้ที่คอจของวัวควายทุกตัว แต่ละลูกของเกราะเสียงเกราะก็ไม่เหมือนกัน เล้กบ้างใหญ่บ้าง เสียงของเกราะจึงไม่เหมือนกันพวกเราต่างคนก็จำเสียงเกราะของวัว ควายจองตนได้ทุกคน จึงไม่ค่อยจะห่วงกันนัก มีห่วงอยู่แต่หาวิธีเล่นให้สนุกสนานด้วยวิธีต่างๆ เท่านั้น

 

เมื่อตะวันคล้อย ข้าพเจ้าจะต้อนไอ้ไหมกับไอ้เขียวกลับบ้านพร้อมด้วยเพื่อนๆ แต่ก่อนจะกลับบ้าน พวกเราก็จะพากันหาผักต่างๆ ที่มีอยู่ในป่า ติดมือมาเพื่อเป็นอาหารเย็น พอวัวเข้าคอกทุกคนจะไปอาบน้ำตามลำคลองเสร็จแล้วก็รวมกันรับประทานอาหารเย็น ความเป็นอยู่ของชาวบ้านนอกก็จะสำเร็จเป็นวันๆ ไปอย่างนี้

 

เมื่อถึงคราวทำนา เวลาลงนาพวกเด็กโดยมาจะอยู่บ้าน เพราะห้านี้วัวควายต้องใช้งานเป็นเวลากว่า 3 เดือน บางคนไม่อยุ่บ้านก็ไปอยู่ในท้องนา ปลูกเป็นกระท่อมมุงหญ้าทำเป็นบ้านชั่วคราวพออยู่กันได้ เถื่อถึงหน้านาฤดูทำนาน การหาอาหารนั้นก็หากันตามทุ่งนาและลำคลองเป็นกุ้ง ปลา ปู ตามที่หาได้ โดยการดักลอบดักไซ ตกเบ็ด หว่านแห ตามแต่จะใครจะถนัด และก็หากันไม่ยากนัก ตอนเช้าพ่อไถนา แม่ดำนา พอตอนบ่าย แม่หุงข้าว รอพ่อไปหาปลา กุ้ง พอข้าวสุกพ่อก็กลับ ได้กุ้งปล้ามาที่จะต้มแกงเป้นอาหารพอเยียวยาอัตภาพ ส่วนพริก มะเขือ ตะไคร้ ข่า ก็ปลูกไว้ไกล้ๆกระท่อมนา ส่วนเด็กๆ พอจะช่วยหากุ้งหาปลาก็ชวนกันเป็นหมู่ๆ ไปทำพิธีดักลอบดักไซเก็บผักตามประสาพอจะช่วยครอบครัวไปได้ในวันหนึ่งๆ

 

เด็กบ้านนอก พอจบประถม 4 ออกจากโรงเรียนก็ต้องมาตราตรำทำงานเพื่อเป็นการฝึกตัวต่อไป โดยหัดไถนาดำนา หากินตามรอยของพ่อแม่ต่อไป การจะหาโอกาสไปเรียนต่อเพื่อความก้าวหน้าของชีวิตในการพัษนานั้นยากมาก เพราะการเป็นชาวนาก็เพียงแต่พอมีพอกินกันไปเท่านั้นพ่อแม่พอจะที่จะอดทนทำมาหากินไปได้มีลูกหลายคน ก็จะแบ่งไปให้อยู่วัดเป็นศิษย์วัดหว่างว่าจะก้าวหน้าในการศึกษาในอนาคต เพราะพ่อแม่รู้ว่า ผู้เข้าไปบวชเรียนเป็นพระเป็นเณร ไปเรียนได้เป็นมหาเปรียญกันมาก ได้ดีทางพระ ได้ดีทางฆราวาสก็มีกับจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยกับพวกญาติพี่น้องด้วยพ่อม่ก็กัดฟันทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ยกลูกหลานให้อยู่วัดบวชเรียนกันจำนวนมาก

ข้าพเจ้ากับวัวคู่ชีพ ไม่ได้ใช้ใหทำนาเหมือนคนอื่นเขา ตอนนี้จำต้องเลี้ยงอย่างโดดเดี่ยว ไม่ใครจะมีเพื่นอเล่นเหมือนกันหล้าแล้ง คือฤดูไม่ทำนา ข้าพเจ้าก็พยายามต้อนวัวไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง วันไหนขี้เกียจก็หาเชือกมาล่ามให้กินหย็าแล้วก็หาวิธีหนีไปนอนในป่า หลับไปพอตื่นก็มาแก้เชีอก ปล่อยวัวคู่ชีพให้หากินพอสมควรก็ไล่เข้าคอกไป

 

ครั้นเวลาการต่อมา ข้าพเจ้าก็ต้อนวัวคู่ชีพไปหากินตามที่ต่างๆ วัดเป็นวัดที่กำลังสรางใหม่มีพระภิกษุสามเณรไม่มากนัก วัวของข้าพเจ้าได้เข้าไปเล็กหญ้าตามไกล้ๆกุฏิ ข้าพเจ้าก็ตามวัวเข้าไปเรื่อยไป เมื่อหลายวันเข้าพระในวัดท่านก็มาบอกข้าพเจ้าว่าเราไปเลี้ยงไกลๆ ข้าพเจ้าถามพระท่านว่าก็ทำไมครับ ผมขอเลี้ยงใกล้ๆนี้ไม่ได้หรือ พระบอกว่าอาจารย์ใหญ่ท่านรำคาญ เพราะเสียงเกราะวัวของเธอมันดังหนวกหู ท่านจะทำสมาธิก็ไม่สงบข้าพเจ้าตอบว่าถ้าอย่างนั้นผมจะถอดเกราะออกเสีย ค่าที่อยากจะอยุ่ใกล้ๆวัด เพราะมันเกิดความอบอุ่น พระก็บอกข้าพเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาเลี้ยงต่อไปได้ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้านำวัวไปเลี้ยงข้างๆ วัดเสมอๆ แต่ยังไม่ได้รับความสนิทสนมกับพระเณรในวัดเท่าไหร่ เนื่องจากเหมือน กับเราอยู่กันคนละโลกและก็จำได้ว่าสมัยหนึ่งเราก็เคยเป็นเด็กวัด มีความเคารพพระเณรมีความกลัวท่านมาก

 

ตามบ้านนอกทั่วไป แม้จะไม่มีเงินฟุ่มฟือยมากนัก แต่ความเป็นอยุ่ที่ไม่ฝืดเคือง เพราะอาหารต่างๆ อจะหาเอาได้ตามป่าเขา เช่นเมื่อถึงคราวหน่อไม้ไผ่รวกมันออกพวกเราก็จะสนุกเฮฮา ไปหาเก็บหน่อไม้ กันเป็นพวกๆ เท่าที่เป็นเพื่อนสนิทสนมกัน เมื่อเดินทางไปถึงป่า ก็เข้าเก็บหักเอาหน่อไม้ตามความต้องการ ว่าจะหมดหน้าหน่อไม้พวกเราก็เก็บได้คนละมากๆ ข้าพเจ้าเองก็ทำเช่นกับพวกเพื่อนๆ เก้บได้ก็ใส่กระบุงบ้าง บางทีก็ไม่เอากระบุงไปก็มันเป็นมัดๆ แล้วก็หาบกลับบ้าน บิดามารดาก็ทำเป็นหน่อไม้เปรี้ยวบ้าง หน่อไม้ปี๊ปบ้างหน่อไม้แห้งบ้าง เก็บเอาไว้รับประทานเมื่อหมดหน้าหน่อไม้

 

นอกจากหน่อไม้ก็จะมีเห็ด พวกเห็ดต่างๆ นั้นมันเกิดขึ้นตามป่าไม่เต็ง ไม้รัง เห็นนานาชนิด เมื่อฝนตกลงมาแผ่นดินชุ่มพอควรเห็นจะเกิดมากตามป่าไม้เหล่านี้ พวกเด็กๆอีกเช่นกันต่างคนต่างพากันไปเก็บได้มากันน้อยบ้างมากบ้าง บางทีมันก็หายาก ข้าพเจ้าได้ไม่มาก พวกเพื่อนๆเด็กด้วยกันก็จะแบ่งปนกันให้ผู้ได้น้อย ทำให้พวกเราเกิดความรักใคร่กันบางทีรักกันมากถึงกบผูกเป็นเกลอกัน

 

ผู้ปกครองของพวกเรา นอกจากจะทำนานแล้วก็ทำไร่กันอีกด้วย การทำไร่นั้นชาวบ้านก็จะถามป่าตามความต้องการพอแก่กำลังของตน และก็ไม่ห่างกัน เพื่อนเป็ฯการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยส่วนมากไม่ได้จ้างเพราะเงินหายาก ต่างเอาแรงกัน เมื่อรู้ว่าใครกำลังจะถามไร่เราก็จะไปช่วยเขาจนกว่าไร่เขาจะเสร็จ เมื่อถึงคราวเราจะถางไร่บ้าง เขาก็จะมาช่วยเราจนกว่าไร่เราเสร็จ กากระทำเช่นนี้ไม่มีกกกหมายบังคับ ไม่มีตุลาการ ต่างกันต่างไว้ใจกันและกัน และตลอดเวลาก็ไม่เห็นมีใครจะเอาเปรียบใคร ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน ทำให้เกิดความสามัคคีและความเป็นสุขในหมู่บ้านมาก

พวกเราเด้กๆก็ทำตามผู้ใหญ่ ช่วยพ่อแม่ทำงานเมื่อถึงเวลาถางป่าทำไร่ พวกเราก็จะต้องติดตามไปช่วยถางตามกำลัง หรือช่วยหาบข้าวกับข้าวไปเลี้ยงผู้ใหญ่ ซึ่งทางแม่บ้านก็ช่วยกันทำกับข้าวเพื่อเลี้ยงแขกในยามที่ทำไร่กัน

 

ครั้นเมื่อผลิตผลจากไร่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีแตงโมง แตงไทย ฟังทองถั่วฝักยาว ถั่วเขียว ข้าวโพด งา พริกขี้หนู พริกยาว พวกเด็กๆ ทั้งหลาย ก็จะต้องไปนอนเฝ้ากันในไร่ ไม่ใช่กลัวขโมยจะลัก ไม่มีขโมยโจรเลย ทิ้งไว้ยังไงก็อยู่ยังงั้น ที่พวกเด้กๆต้องมาเฝ้ากันนั้นแหละข้าพเจ้ากับเด็กทั้งหลาย อดเล่นตามประสาเด็กไม่ได้ บางทีรวมมาเล่นกันไร่เดียว ปล่อยให้สัตว์ขโมยกินของก็ต้องถูกผู้ปกครองดุด่าว่าเอา แต่พวกเราก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ ถึงจะเล่นอะไรกันก๖้องคอยดูแลไล่นกไล่กาไป

 

เมื่อผลิตผลเก็บได้พวกเราก็เก็บมารวมกระท่อมไร่ แล้วก็หาบจากไร่มาบ้านเพื่อรรับประทานบ้างขาย เวลาหาออกจากไร่ก็น่าดู เดินตามกันมาเป็นแถวยาวเหยี่ยด พอเหนือ่ยที่ตรงไหนก็หยุดคุยกันไปกินแตงกันไปสุดแล้วแต่ใครจะมีเรื่องขำขันก็พูดกันแก้เหนื่อย หายเหนือ่ยแล้วก็หาบต่อไป จนถึงบ้านหมดภาระกันไปทอดหนึ่ง พอถึงบ้านผู้ปกครองจะเลือกหาผลิตผลที่พอจะขายได้รารถเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่าย เมื่อเลือกได้แล้วพวกเราเด็กข้าๆเจ้าก็จะต้องหาบด้วยแรงไปขายตลาด แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด พวกข้าพเจ้าหาบแตงบ้าง ข้าวโพดบ้าง มะเขือ ผลผลิตต่างๆ เมื่อไปถึงตลาด ลุกค้าจะมาซื้อข้าพเจ้าเป็นพิเศษหรือเรียกว่าอุดหนุดเป็นพิเศากว่าใครๆ การขายน้นมาตอนข้ากว่าจะขายหมดก็ตกบ่ยโมงสองโมง ส่วนข้าวพเจ้าพอวางหาบไม่ถึงชั่วโมงก็ขายหมด จนพวรรคพวกสงสัยว่ามีอะไรดี ข้าพเจ้าบอกว่ไม่มีและไม่ทราบว่าเขาชอบเราได้อย่างไร บางครังข้าพเจ้าไม่ได้มา พี่ชายมาแทนขายไม่ออก ขายจนกระทั่งบ่ายแทยจะไม่หมด เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ปกครองของข้าพเจ้าก็ให้พี่ชายหาบผลิตผลมา ข้าพเจ้าก้หาบม หาบของข้าพเจ้าหมด พี่ชายตามข้าพเจ้ามาก็ขายไม่ออกเช่นเลยตกหนักที่ข้าพเจ้าต้องรับภาระหาบของที่ขายอยู่ตลอดเวลา

 

พวกเด็กๆ ทั้งหลายปีหนึ่งๆ จะได้มีการเพลิดเพลินสนุกสนานแบบอิสระกันครั้งหนึ่ง ถือฤดูสงกรานต์ บิดามารดา จะปล่ยอให้เล่นสงกรานต์ตามสบายไม่มีการใช้งานใช้การกันและตอนนี้ ก่อนจะถึงสงกรานต์พวกเราก็จะเอาแรงตำข้าว เพื่อเก็บไว้รบประทานตลอดสงกรานต์เนื่องจากในละแวกนี้ไม่มีโรงเรียน ทุกๆสัปดาห์จะต้องตำข้าว แล้วก็จะไปช่วยกันเก็บหลัว ( คือไม่ไผ่แห้งที่ลอยมาตามลำแม่น้ำ) เพราะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีตะเกียงให้แสงสว่างมากๆ พวกเราจะเตรียมหลัวมาไว้เพื่อจุดไฟเพื่อให้แสงสว่าง

 

พวกเด็กๆ ที่เป็นเพื่อนกันในหมู่บ้านหนึ่ง นั้นก็จะมีเป็นคณะๆ หรือเรียกว่าเป็นกรุ๊ฟ รวามกันหลายคณะ แต่ละพวกก็จะไปรวมเล่นกนบางทีพวกอื่นก็จะไปร่วมกับอีกพวกหนึ่งตามอัธยาศัย เมื่อตนเห็นว่าพวกนั้นเขาเล่นสนุกดีจะเล่นกับเขาก็ไม่ขัดข้อง

 

ทั้งกลางวันและกลางคืน จะมีวิธีการเล่นแปลกๆ เมื่อตรุษไทย พวกเราเล่น 15 วัน เมื่อสงกรานต์พวกเราเล่น 30 วัน การทำบุญใส่บาตรในวัดชาวบ้านก็ทำอาหารและขนมต่างๆ ไปถวายพระเป็นพิเศษ เด็กก็รวยขนมไปด้วยตอนนี้ ตามธรรมดาพวกเราไม่ใครจะรับประทานขนมกันเทาไหร ฉะนั้นพอถึงตรุษ สารท สงกรานต์ พวกเาก็จะดีใจกันมากที่จะได้เล่นและได้รบประทานขนมอร่อยๆ วันตรุษชาวบ้านจะทำบุญกัน 3 วัน วันสงกรานต์จะทำบุญกัน 7 วัน ว่าถึววิธีการเล่นตอนกลางวันนั้น มีการโหนชิงช้า การวิ่งผลัดแข่งขันกน การเล่นหมากรุก การเล่นวิ่งทางไกล การว่ายน้ำ ดำน้ำ แข่งขันกัน ในระยะนี้ผู้หญิงผู้ชายไม่ถือตัวเหมือนกับระยะอื่นๆ เล่นกันได้ดุจเพื่อนๆ จับต้องกันอย่างไรก็ไม่มีใครว่ากัน แต่ก็จะมีได้มีการล่วงเกินขอบเขต

 

ส่วนเวลากลางคืน หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้วก็จะมีการตีโทน ( กลองยาว) หมู่ไหนที่จะเป็นที่รวมก็จะมีการตีโทน 2-3 ใบ ดังไปทั่วหมู่บ้าน เด๊กๆ ก็จะทยายอกันไปจับกลุ่มคุยกันตามประสา บ้างก็มีนิทานตลกมาเล่าสนุกเฮฮา เล่นงูกินหาง เล่นหมารุกคน เล่นรำด้วยวิธีการต่างๆ อย่างสนุกสนาน โดยไม่มีเล่ห์แง่งอนอะไร หวังเพื่อความเพลินเพลินไปเท่านั้น ยังมีวิธีหนึ่งซึ่งจะเล่นเป็นประจำแทบทุกคืน คือ การร้องเพลงแก้กันระหว่างหญิงกับชาย กะประมาณฝ่ายละ 10 ถึง 15 คน นี้เป็นการสมัครผู้ที่อาสาจะเข้าต่อสู้กัน

 

ข้าพเจ้าก็เข้าสมัครต่อสู้กับเขาคนหนึ่งในหมู่ชาย เมื่อสองฝ่ายได้ผู้แข่งกันพอแล้ว ก็จะเอาครกตำข้าวมาวางตรงกลางขั้นไว้เพื่อจะให้เป็นเขตรู้ส่วนพวกที่ไม่ได้แข่งขันก็จะกลายเป็นกองเชียร์ กองเชียร์ฝ่ายชายก็จะมีฝ่ายหญิงก็มี ซึ่งกองเชียร์นี้เกิดขี้นโดยอัตโนมัต คือเมื่อไม่เข้าแข่งขันก็เป็นคนดูไม่ดูเปล่าเป็นกองเชียรืไปในตัว และก็ในการเล่นเช่นนี้พวกเด้กๆ ก็มายกเอาข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายหญิงเจาก็มีหัวหน้าแล้วก็ขึ้นต้นด้วยคำว่า

 

( ฝ่ายชาย) เอ้อระเหยลอยมาลอยไปถึงดอกจำปี อันว่าปีนี้เรามาเล่นสงรานต์ มีสาวๆ ขาวๆ สวยๆ อีกทั้งรวยก็อนันต์ ฉันขอจูบสักทีให้ถึงใจฉันๆ จะได้ไหมเอย เอ้อระเหย ลอยมาเอาว่าลอยไป( ตรงที่ขีดไว้นั้นต้องว่าพร้อมกัน ส่วนตรงไม่ขีดนั้นหัวหน้าว่าคนเดียว แต่ถ้าหัวหน้าจะหมดคำพูดก็จะสะกิดลูกน้องให้ช่วย

(ฝ่ายหญิง ) พวงมาลัยลอยมาเอาว่าอลยไปถึงต้นมะม่วง อันว่าสงกรานต์มันก็ล่วงมาหลายปี หมุ่มๆพวกนี้ยังไม่เห็นเป็นโตใหญ่ จะกอดจะจูบจะบูกจะคลำไม่เห็นสำคัญ เพราะว่าสงกรานต์เราก็ทำกันได้เอย พวงเอ๋ย พวกมาลัยไปหรือก็ว่าลอยมา

 

โดยมากพวกผู้ชายจะพูดลอยไปถึงดอกไม้ต่างๆ ฝ่ายพวกผู้หญิงจะพูดลอยไปถึงต้นไม่ต่างๆ เช่นกัน

ข้าพเจ้ามีคิดถึงการเล่นต่างๆ ในงานตรุษสงกรานต์นี้เป็นวิธีที่ดีมาก ทำให้เกิดความสามัคคีและสนุกสนานกันทั้งได้รับความนิยม แต่สมัยนี้การเล่นเช่นี้ของพวกเด้กจะยังเหลืออยู่หรือเปล่าไม่ทราบได้

 

การเล่นเพลงเช่นนี้ที่ชอบอกชอบใจของพวกเด็กๆมาก โดยส่วนมากเราจะเอาไว้เล่นตอนดึก เพราะจะได้เฮกันครึกครื้น ส่วนตอนหัวค่ำ นั้นก็เล่นกนตามธรรมดาไป เนื่องจากกลางคืนเล่นกันดึกมาก ถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง พอเช้าตื่นขึ้นรับประทานอาหารแล้วก็นอนเอาแรง ลุกขึ้นอาหารกลางวันเสร็จก้ไปเที่ยวกันตามนัด ผู้ปกครองก็ไม่ดุด่าว่ากล่าว เพราะเป็นธรรมเนียมที่ทุกๆ ครอบครัวก็ทำกันอย่างนี้

 

ยังมีวิธีการเล่นที่แปลกประหลาด และทำให้สนุกครึกครื่นไม่แพ้กันเล่นเพลง คือการเล่นเขาผี วิธีนี้ผู้ใหญ่จะเข้าร่วมด้วย แต่ก็ไม่ทุกครั้งไปผู้ใหญ่คอยควบคุมเพราะเป็นวิธีการเป็นจริงๆบ้าง ล้อกันเล่นบ้าง แต่ส่วนมากมักจะจริงๆ การเข้าผีนั้นมีหลายอย่าง เช่นเข้าผีนางลม เขาผีนางช้าง เข้าผีนางลมนั้น โดยมากผู้เขืาจะเป็นผู้หญิง เข้าผีนางช้างส่วนมากจะเป็นผู้ชายเข้าผีทุกๆอย่าง เขาจะเอาผ้าคลุมตัวผู้จะเข้าอย่างมิดชิด แล้วก็จะมีคนตีโทนอย่างดังเป็นพิเศษ 2 ข้างหู พร้อมกับเด็กทุกมานั่งล้อมกันแล้วโห่เป็นเสียงเดียวกัน ประมาณสักครึ่งชั่วโมง ผีก็จะเข้าคนเต้นไปพูดไป โดยความไม่รู้สึกตัว บางทีก็ตามผีว่าปีนี้ฝนจะแล้งหรือฝนจะดี ผีก็จะบอกให้รู้สึกว่าใกล้ความจริงเหมือนกัน หรือบางก็จะถามเชิงสัพยอกออเป็นสนุนสนานและสงัดวังเวงอีกเหมือนกัน

 

วันหนึ่งข้าพเจ้าได้อาสาพรรคพวกว่าจะเข้าผีนางช้าง พรรคพวกดีใจกันใหญ่ จึงเอาผ้าข้าวม้ามามัดเป็นงวงเหมือนงวงช้าง แล้วเอามามัดที่หัวของข้าพเจ้า แล้วเอาผ้าคลุมตีโทนโห่กันตามพิธีกร เวลาล่วงไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าใจแข็ง ไม่รู้สึกว่าผีเข้า ยังรู้สึกว่าเป็นคนธรรม เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่านานเกินป จึงทำเป็นสั่นโยกไปโยกมาสักครู่ก็กระโดน พรรคพวกเข้าใจว่าผีเข้าจริงๆ วิ่งหนีกันเป็นจ้าละหวั่น เพราะว่าผีนางช้างนี้เข้าใคร แล้วแรงมันเกิดขึ้นผิดปกติ ชนใครเข้ามีหวังเจ็บตัว แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าผีเมื่อเข้าแล้วก็วิ่งก็ช้า ตาก็หลับ จึงหลอกผีกันวิ่งไปทางโน้นแล้วก็กู่ออกเสียงเดี๋ยวก็วิ่งมาทางนี้แล้วก็กู่ออกเสียง เพื่อหลอกให้ผีวิ่ง ข้าพเจ้าก็วิ่งไล่ พวกก็วิ่งหนีเป็นที่สนุกสนานพอสมควรทีเดียว

วิธีที่จะให้ผีออกนั้น ทุกคนจะช่วยกันเรียกชื่อผู้เข้าผี แล้วให้กินน้ำ เพียงไม่ถึงห้านาทีผีก็จะออก

 

นี้แหละชีวิตของเด็กบ้านนอก เช่นกับพวกข้าพเจ้าจะมีชีวิตเป็นอิสระ ไม่ต้องคลุกคลีกบสิ่งแวดล้อมอันจะเป็นทางไปสู่พวกอันธพาล พวกยาเสพติด พวกแมงดา พวกโกงต่างๆ แต่จะพากันอยู่อย่างมีสวัสดิภาพตามประสาบ้านนอก แม้จะไม่เจริญทางวัตถุอันเคล้าไปด้วยสีแสงเครื่องประโลมโลกต่างๆ แต่ก็เจริญด้วยวัฒนธรรมอย่างไทยๆ มีความสามัคคี มีความจริญตามประสาบ้านนอกที่พอจะมีอยู่มีกันไปไม่อดอยาก หลังจากพวกเราเป็นผู้ใหญ่กันขึ้นแล้วพวกเราก็ยังรักใครไม่ทอดทิ้งกัน แม้จะผิดใจกันบ้างเวลาเล่นแรงกันไปหน่อย แต่ภายหลังก็รักกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี้แหละชีวิตบ้านนอกของประเทศไทย

 

จุดเริ่มต้นของชีวิต
ยังไม่ถึงคราวตาย
ธรรมกับเด็ก
ชีวิตเด็กวัด ตอนที่ 1
ชีวิตเด็กวัดตอนที่ 2
ชีวิตเด็กบ้านนอก
มโนธรรม