ชีวิตเด็กวัดตอนที่ 2
นับแต่ข้าพเจ้าได้บทเรียนจากการหนี และจากความทุกข์ยากประกอบกับเริ่มมีความรู้สึกว่า ท่านอาจารย์ปลัดตาก็รักข้าพเจ้าจริงๆ ก็เริ่มกลับตัว และพยายามกระทำดีเลิกคบพวกสารเลว ตั้งตาเรียนบาลีไวยากรณ์กับท่านต่อไป
อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ปลัดตาก็ชักไม่ไว้ใจในความดื้นด้านของข้าพเจ้าว่าจะคิดกลับตัวได้อย่างไร ทุกๆวันท่านจะให้ใครคนหนึ่งประกบข้าพเจ้าไว้ตลอดเวลากลัวว่าข้าพเจ้าจะหนีกอีก ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น ทำให้อาจารย์กับลูกศิษย์รู้สึกไม่สบายใจด้วยกันเพราะบิดาของข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็รุ่นราวคราวเดียวกันคุ้นเคยกันเป็นพิเศษหากจะส่งข้าพเจ้ากลับก็เกรงใจ
อยู่ต่อมาหลายสัปดาห์ อาจารย์ของข้าพเจ้าก็ตัดสินใจส่งข้าพเจ้าออกไปอยู่อำเภอนอกเมือง ห่างไกลจากจังหวัดมาก นั่นคือบ้านสีมุม ในวันนั้นข้าพเจ้าต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง ที่อาจารรย์ได้ทำให้ต้องจากไปโดยวิธีการนี้ เพราะข้าพเจ้าได้คิดตามประสาเด็กว่า เอ อาจารย์ของเราเห็นที่จะจงเกลียดจงชังเราเสียแน่แล้ว แต่ถึงอย่งไรก็ข้าพเจ้าก็ไม่เกลียดท่าน พอจะสำนึกตัวได้
เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่ที่วัดบ้านนอก ท่านอาจารย์ปลัดตาก็ได้ฝากกับสมภารเป็นการเรียบร้อย ณ วัดนั้นมีพระ 4-5 องค์ สามเณร 2 องค์ เด็กวัด 7-8 คน สมภาพวัดเมื่อเห็นข้าพเจ้ามาอยู่ด้วย ก็ให้ความอบอุ่นอย่างที่ข้าพเจ้าม่เคยได้รับมาก่อนเลย โดยให้นอนอยู่ใกล้กับท่าน มีอะไรที่โยมถวายมาก็ให้สิทธิ์ข้าพเจ้าใช้สอยได้ตามต้องการ
ในเมื่อข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี้ทุกๆ อย่างก็มีความสุข แต่ไม่ได้เรียนอะไรเลยมีแต่ท่องสวดมนต์ไปทุกๆวันเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีเรียนหนังสือวัด คือ บท ก-กา จนถึงแม่เกย ซึ่งข้าพเจ้าก็อ่านเรียนเขียนได้หมดไม่มีเหลือแล้ว สมภารวัดเลยตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนเด็กอื่นๆ ข้าพเจ้าก็ได้กระทำตามคำสั่งของท่านสมภาร โดยตั้งใจสอนเด็กๆ เหล่านั้นดวยความสนใจอย่างยิ่ง จนสมภารเพิ่มความรักความใคร่ข้าพเจ้ามากเป็นทวีคูณ
ทุกๆวันพวกเราเด็กวัด ตอนบ่าย ต้องขึ้นไปโคกป่าหมายถึงปาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักนาๆชนิด เป็นต้นว่า ผักหวาน หน่อไม้ เถากำยาน สลิด ต้นเปราะหอม เถาตำลึง เป็นต้น แต่ผักเหล่านี้ชาวบ้านจำนวนมากก็จะพอกันไปแสวงหากันอยุ่เสมอๆ จึงเป็นการเสาะหาลำบากมิใชย่อย กว่าจะาหามาพอจะได้ฉันกันทั้งพระและเณรเด็ก ไปครั้งหนึ่งก็ใข้เวลานานพอสมควร
แต่การไปหาอาหารเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความหนักใจอะไรเพราะเป็นธรรมดาของชาวบ้านทั่วๆไป ทั้งได้รับความสนุกเพลิดเพลินไปในตัวด้วย เล่นกันบ้างเก็บผักกันบ้างก็ดูเหมือนจะไม่ทำให้เกิดความเดือนร้อน
บางครั้งเมื่อพริก เกลือ ข้าวสารหมด พวกเราก็ถือบาตรคนละใบออกไปตอนเย็นเข้าไปในบ้านเดินเป็นแถวปากก็พูดว่า ขอพริก เกลือ ข้าวสาร ตามมีตามเกิดเจ้าข้า พวกชาวบ้านก็มิได้รังเกียจแต่อย่างใด พากันตักข้าวสาร้าง พริกบ้าง เกลือบ้างมาใส่บาตรกัน พวกเราเมื่อได้พอแล้วก็กลับวัดเก็บไว้ในครัว ถึงคราวอดอยากขึ้นมาก็ช่วยกันหุงต้มตามมีตามได้
โยมประจำวัดก็ไม่มี โยมในบ้านเขาจะผลัดกันมาทำกับข้าว หุงข้าวให้ บางคราวโยมติดธุระกันในหน้าทำนา ฝนก็ตกบิณฑบาตรก็ไม่พอ ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราชาวเด็กวัดจะหุงหาอาหารกัน ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ต้องทำกับข้าว แต่เรื่องนี้เคยมีฝึมือมาเก่าพอจะเดาทำได้ ก็ช่วยเขาต้มบ้างแกงบ้าง
กาลเวลาผ่านไปนานวันเข้า ความซุกซนของเด็กอันเป็นนิสัยอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น ข้าพเจ้าพาเด็กพรรคพวกไปเที่ยวอาบน้ำกันทุกๆวันเป็ฯการสนุกหลังจากเรียนหนังสือกันเสร็จแล้ว ที่ท่าน้ำนั้นมีต้นมะพร้าวอยู่ 3-4 ต้น มันเป็นการเล่นที่เกินเหตุ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนยอมมะพร้าวจับใบแล้วโหนตัวลงและปล่อยมือลอยลงมาตกในน้ำเป็นการสนุกอย่างยิ่ง และเด็กอื่นก็แอบมาดูพวกข้าพเจ้าบ้าง ทำกันอย่งนี้มาหลายเพลา จนสมภารรู้เข้าก็แอบมาดูพวกข้าพเจ้ากำลังขึ้นต้นมาะพร้าวกระโดดกันอย่างสนุกสนานนั้น แทนที่ท่านจะเอะอะโวยวาย หรือไล่ตี ท่านก็นั่งหัวเราะชอบใจเสียดังจนพวกเราได้ยินเหลือบไปเห็นท่านสมภาร พวกเรารีบเลิก นุ่งผ้าแล้วกลับวัดสมภารท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เดินกลับวัดอย่งอารมณ์เย็น ทั้งที่สามภารมิได้ตักเตือนดุด่าเฆี่ยนตี แต่ข้าพเจ้าก็มาสำนึกได้ว่าเรานี้ผิด หากพลาดพลั้งตกลงมาดินก็หมายถึงตาย ตั้งแต่วันนั้นมาพวกเราก็เลิกขึ้นต้นมะพร้าวกระโดดน้ำ
อะไรทำให้สำนึกผิด เพราะสมภารท่านไปดูนั่นคือการตักเตือนที่สุภาพที่สุด และการตักเตือนเช่นนี้หายากที่สุดที่จะมี อยู่กับสมภารองค์หนึ่งๆ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่โดนเฆี่ยนก็โดนด่า แต่ก็ไม่ได้โดนทั้ง 2 อย่าง ทำให้ข้าพเจ้านึกรักและเคารพท่านสมภารองค์นี้อย่างสุดซึ้งหัวใจ ทำให้ข้าพเจ้าระวังตัวต่อไปอีกมากไม่กล้าจะทำให้สิ่งที่ก่อความหนักใจให้แก่ท่านสมภารองค์นี้อีกเท่าที่สามัญสึกนึกจะเข้าใจได้
วัดตามอำเภอนอกๆ ในสมัยนั้น การกระทำเครื่องใช้หรืออะไรต่างๆนั้น ทำขึ้นเองเป็นส่วนมาก ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นการกระทำที่ไม่เคยเห็นมาหลายอย่าง เช่น กระดาษ ก็ไปนำเอาเปลือกไม้มาทุบแช่น้ำกรองแล้วเอาน้ำข้นของมันมาเทใส่ผ้าขาวบางโรยลงอย่างบางที่สุด ปล่อยให้น้ำซึมลงจากผ้า เหลือแต่เยื่อไม้ปล่อยให้แห้ง ก็กลับกลายเป็นกระดาษ นำเอามาเป็นสมุดข่อย เขียนภาพนรกสวรรค์ คำสวดอภิธรรม สวดพระมาลัย ถึงคราวจารึกคำภีร์เทศน์ พวเราก็มีสมภารเป็นผู้นำไปตัดใบลาน นำเอามาตากแห้ง ใข้มีดปาดใหญ่เล็กตามต้องการ แล้วก็ใขช้เหล็กแหลมๆ เอามาเขียน (เขาเรียนว่าจารหนังสือ) ข้าพเจ้าเองก็ถูกท่านสมภาพหัดจารหนังสือ จนเข้าใจวิธีการหนังสือเทศน์พอสมควร
สำหรับน้ำมันที่จะใช้จุดตะเกียงเป็นแสงสว่าง ใช้มะพร้าวเอามาเคี่ยวเป็นน้ำมัน นอกจากมะพร้าวก็ไปเที่ยวหาเมล็ดต่างๆ ไนป่า เช่นหมากแตก เอามาตำแล้วใช้ไม้แบนๆ สองอันกดกันบีบเอาน้ำมันมาใช้
สำหรับหนังสือโคหรือกระบือ เมื่อโค-กระบือชาวบ้านตายท่านสมภารก็จะไปขอหนังเอามาทำรองเท้าบ้าง ประเป๋าบ้าง ทำหนังปูนอนบ้างวิธีทำใช้ปูนขาวทำหมักพอสมควรแล้วนำมาล้างน้ำ ใช้เปลือกกระโดนแช่ไม่กี่วันก็ใช้ได้ เป็นสีแดงสวย
โดยมากตามวัดต่างๆ พอถึงปีจะมีการแข่งพลุตะไล สมภารท่านก็จะมีความรู้แทบทุกอย่าง ท่านก็พาทำพลุตะไล ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยจนเกิดความรู้ว่า การทำดินพลุตะไลไม่ยากนัก ท่านพาไปขนขี้ค้างคาวในถ้ำ แล้วเอามาแช่น้ำกรองแล้วต้มพอแห้งก็กลายเป็นดินประสิว จากนั้นไปหาเอาไม้ที่เขาเอาเปลือมันทำกระดาษ ส่วนแก่นในมันเอามาเผาเป็นถ่านตำผสมกับดินประสิวตอกใส่กระบอกไม้ไผ่ก็เป็นพลุตะไลตามประสงค์
นับว่าท่านสมภารองค์นี้ทำเก่งชนะเขาแทบทุกปี
ในข้าพเจ้าเป็นเด้กวัดอยู่ที่นี้ ก็เป็นบุญกรรมตามให้เป็นไปหรืออย่างไร มีโยมครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบคัรวที่ร่ำรวยพอสมควร ได้มาพาข้าพเจ้าไปรู้จักคุ้นเคยกับเด้กๆ ในบ้านนั้นอย่างเป็นกันเอง ไม่ทราบว่าแม่บ้านครอบครัวนี้เขามาไว้ใจข้าพเจ้าอย่างจริงใจได้อย่างไร ในวันหนึ่งแม่บ้านได้พาข้าพเจ้าไปในห้องนอน แล้วเปิดเซฟให้ข้าพเจ้าดู ภาพในเซ๊ฟนั้นมีทองคำ เพชร พลอย เงินจำนวนมาก ซึ่งเกิดมาข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นของมีค่ามากมายอย่างนี้ ที่ข้าพเจ้าว่าเซ๊ฟนั้น คงไม่ใช่เซ๊ฟอย่างทุกวันนี้ มันเป็นหีบสูงถึงหน้าอกของข้าพเจ้า
แม่บ้านเธอรักข้าพเจ้ามาก และเธอก็เป็นผู้ที่ท่านสมภารเกรงใจมากทีเดียว แม่บ้านนี้ได้บอกข้าพเจ้าว่าหนูต้องการอะไรบอกแม่น๊ะ ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี้ไม่เคยอดอยากอะไรเลย ตอนเย็นถ้าที่วัดไม่มีอาหาร ข้าพเจ้าก็เข้าไปรับประทานอาหารที่บ้านนี้ทุกครั้ง ความรักใครของครอบครัวนี้ ทั้งพ่อบ้านแม่บ้าน และเด็กๆ จะชอบพอกับข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งลูกพี่น้อง ทำให้ข้าพเจ้าหายคิดถึงบ้าน และคิดว่าว่าจะอยู่ที่นี้จนบวชเรียนตลอดไป
ในปีเดียวกันนี้ ผู้ปกครองของข้าพเจ้าได้มารับข้าพเจ้ากลับบ้านเนื่องด้วยบิดาของข้าพเจ้าบอกว่าการมาอยู่เช่นี้ทำให้มีอนาคตมืดมน ข้าพเจ้าได้บอกกับบิดาว่า ผมจะอยู่ที่นี้ต่อไป และบวช บิดาไม่ยอมโดยให้เหตุผลว่าการบวชนั้นไม่แน่ถ้าไปกลางคัน ก็จะทำมาหากินไม่ทันเขา ข้าพเจ้าก็จนใจเพราะบิดาบอกว่าจะส่งข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ในใจของข้าพเจ้านั้นไม่ชอบที่เรียนอย่างๆ น้องๆ เขาเรียนกัน อยากจเรียนแต่บาลีอย่างเดียว ครั้นมาคิดถึงอาจารย์ปลัดตา ซึ่งไม่ให้ความยุติธรรมและความเมตตาทั้งลงโทษทารุณเหลือเกิน ก็เกิดความกลัว ไม่อยากจะไปวัดกลาง (วัดนารายณ์มหาราช นครราชสีมา) นั้นอีกต่อไป แต่ถ้าอยู่วัดบ้านสีมุมนี้ก็ไม่ได้เรียนอะไร ก็ตกลงใจกลับยบ้านตามความประสงค์ของบิดา
ข้าพเจ้าต้องจำและติดตาติดใจ ตอนที่แม่บ้านและน้องๆที่ข้าพเจ้านับถือเหมือนมารดาและน้องๆ ที่อุปถัมภ์ข้าพเจ้ามาเป็นเวลานาน ตอนที่ ข้าพเจ้าไปในบ้านของแม่บ้านนั้นเพื่อนลากลับ แม่บ้านได้โผเข้ากอดรัดข้าพเจ้าอย่างอันแน่นพร้อมทั้งสะอึกสะอื้น ขอร้องให้ข้าพเจ้าไม่ให้กลับ ขอให้อยู่บวชเรียนที่วัดนี้ หากอยู่ได้ไม่สึกออกมาจะแบ่งสมบัติให้ จะขอรับรองไม่ให้อดยากแน่นอน พร้อมกับพี่ๆน้องๆ ของข้าพเจ้าต่างก็มารุมล้อมเรียกร้องให้ข้าพเจ้าอยู่กับเขาต่อไป ถึงจะจากไปก็อย่าจากตอนนี้เลย ข้าพเจ้าก็อัดอั้นตันใจพูดไม่ออกก็ต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้งหนึ่งด้วยความอาลัย เพราะมาคิดว่า ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจลำบากอีกครั้งหนึ่ง แต่เม่อฟังคำของบิดาแล้ว ก็จำใจลาแม่บ้านและพี่ๆน้องๆ กลับอย่างที่มีความอาลัยอย่างยิ่ง |