เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว ต่อมา นางขุ้ยก็ได้ถึงแก่กรรมลง ลูกหลาน ญาติพี่น้องได้จัดการศพเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว

เมื่อเผาศพนางขุ้ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ล่วงมาได้ ๓ คืน พวกลูกๆทั้ง ๓ คน ( เว้นคนพี่ผู้เป็นพ่อของกุหลาบ ) มาปรึกษาเห็นต้องกันว่า “ นาแปลงที่เป็นส่วนผีที่จะให้กุหลาบนั้น จะแบ่งให้อีกทำไม ในเมื่อพ่อของกุหลาบก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว พวกเรา ๓ คนมาแบ่งกันเองดีกว่า แล้วก็เอามาแบ่งกันเสียเอง ๓ คน ”

ส่วนนางหิ้มก็พูดไม่ออก และก็ไม่สนใจ เพราะไม่อยากทะเลาะกับน้องๆในฐานะที่เป็นพี่ กุหลาบจึงไม่ได้อะไรเลยทั้งๆที่ได้เลี้ยงดูปฏิบัติย่ามา และย่าก็ได้แบ่งสมบัติไว้ให้ก่อนตาย จึงทำให้ร้อนถึงผีนางขุ้ยซึ่งตายไปแล้ว

หลังจากเผาศพนางขุ้ยแล้วได้ ๓ วัน สามเณรจีนซึ่งบวชหน้าไฟ คุณยาย ได้ตั้งใจว่าจะสึกมาก่อนหน้านี้ แต่ยังหาวันดีไม่ได้ ก็ทำให้ไม่สบายใจ ข้าวก็ไม่ยอมฉัน และไม่ยอมสังคมกับภิกษุสามเณรอื่นๆด้วย

ในกุฏิที่สามเณรจีนอยู่นั้น มีพระเณรอื่นอยู่ด้วย แต่อยู่คนละห้อง ในคืนนั้นพระเณรได้ยินประตูห้องสามเณรจีนปิดดังโครม ต่างก็เข้าใจว่าสามเณรจีนเข้านอน และต่างก็รู้ด้วยว่าสามเณรจีนไม่ค่อยสบายใจ จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนคุยด้วย แต่เพียงคู่เดียวหลังจากนั้น พระเณรก็ได้ยินเสียงสามเณรจีนเปิดประตูออกจากห้อง ก็พากันสงสัยและเปิดประตูออกมาดู และเข้าไปดูในห้องสามเณรจีนก็ไม่พบ พากันเอาไฟฉายไปค้นหาทั่ววัดก็ไม่พบ ก็สงสัยว่าสามเณรจีนไปผูกคอตาย พระเณรจึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกัน

หลังจากนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมง สามเณรจีนก็ขึ้นไปบนวัด เพราะวัด

ชะแล้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งมีบันไดขึ้นมาด้านศาลาการเปรียญ ( โรงธรรม ) และเมื่อสามเณรจีนไปถึงวัดแล้ว พระเณรในวัดได้ยินเสียงหมาเห่าหอน ได้ตามไปประมาณ ๒๐ วา พระเณรก็สงสัย แต่พอเงียบเสียงหมา สามเณรจีนก็ถึงห้อง พระจึงเข้ามาถามว่า “ เณรไปไหนมา ”

เมื่อถูกสอบถามสามเณรจีนก็ได้สติข้นมาทันที จึงบอกว่าแม่เฒ่า ( ยาย ) มาพาไปที่เปลว ( ป่าช้า ) ก็เดินตามหลังแม่เฒ่าและคุยกันไป ผมสำคัญว่าแม่เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ผมใจลอยนึกไปว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย พอไปถึงป่าช้า แม่เฒ่าบอกว่า “ เณร นิมนต์นั่งลง แม่เฒ่าจะพูดให้ฟัง ก็เลยนั่งคุยกับแม่เฒ่า โดยหันหน้าไปทางทิศใต้ นั่งใกล้กับแม่เฒ่า ” แม่เฒ่าได้พูดว่า “ เณร , แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจ จะไปไหนก็ไม่ได้ยังมีความกังวลใจในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด ( ในภพอื่น ) ก็ไม่ได้ ก็เลยพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้นั้น เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกแล้วทั้ง ๔ คน คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่า บอกแล้วว่ายกให้แก่อีสาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กกำพร้าแม่มาแต่เล็ก ( ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันแล้ว ) แต่เมื่อแม่เฒ่าตายแล้ว ทำไมลูกทั้ง ๓ คน เอาส่วนของกุหลาบมาแบ่งกันเสียเอง ไม่ยอมให้กุหลาบ ทำไมลูกทั้งจึงมาคิดทรยศโกงของหลาน เรื่องนี้แหละที่แม่เฒ่าต้องเรียกเณรมาปรึกษา ขอให้เณรไปตามแม่ของเณรมาเร็วๆ ให้เณรไปตามแม่เณรที่จังหวัดตรัง แล้วคืนสมบัติส่วนนี้ให้กุหลาบเสีย มิฉะนั้นแล้วแม่เฒ่าจะมีความกังวลใจอยู่อย่างนี้ไม่ได้ไปเกิด ( ในภพอื่น ) แม่เฒ่าจะเฝ้าสมบัติอยู่นี่ พรุ่งนี้ขอให้เณรรีบไปตามโยมแม่มา ”

“ เมื่อพูดตกลงกันเเล้ว แม่เฒ่าก็มาส่งผม และเดินกันมาถึงวัดนี้แหละ ครับ แม่เฒ่ามาพาผมไปป่าช้าและเดินมาส่งผมถึงวัด ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย แต่พอแม่เฒ่ากลับไปแล้วผมกลับได้สติขึ้นทันที และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดังที่เล่ามานี่แหละ ” สามเณรจีนพูดในที่สุด

เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เมื่อพระเณรได้ฟังดังนั้น ต่างก็พากันขนหัวลุกด้วยความกลัว แล้วพูดว่า “ ป้าขุยเป็นผีมีศีลธรรม มีธรรมะ แกแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกทุกคนถูกต้องแล้ว ”

ในคืนต่อมาจากนั้น หมาในวัดพากันเห่าหอนอยู่ที่บันไดทางขึ้น สู่วัดชะแล้อย่างหวาดกลัว ( เพราะเสียงหมาเห่าหอนในยามค่ำคืนเช่นนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยชนบทว่า หมามันเห็นผีมันจึงเห่าหอน และในชนบทแถบนั้นก็ไม่มีไฟฟ้าด้วย ) พระเณรต่างพากันกลัวไม่กล้านอน ด้วยคิดว่าผีป้าขุ้ยมาอีกแล้ว สามเณรก็กลัวเช่นกัน จนกระทั่งหมามันหอนเสียงโหยหวนต่อกันลงไปทางเบื้องล่าง อันเป็นทางมุ่งไปยังป่าช้าประจำหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น

แต่ในคืนต่อมาหลังจากคืนนั้น ผีนางขุ้ย ก็มาเข้าสิงสามเณรผู้เป็นหลานของตน จึงเกิดเรื่องโกลาหลหนักขึ้น คือ สามเณรจีนร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง พูดบ้าง พระเณรจึงเข้าไปในห้องสามเณรจีนแล้วถามว่า “ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ “

สามเณรก็พูดขึ้นว่า “ ฉันห่วงสมบัติ เพราะกุหลาบมันไม่ได้ส่วนแบ่ง และฉันอยากจะรู้ว่า ที่ให้เณรไปตามโยมแม่ที่ จ . ตรัง นั้น เณรไปแล้วหรือยัง ”

พระเณรก็ได้บอกว่า “ เณรได้ไปตามแล้ว ป้ากลับเสียทีเถิดเมื่อเณรได้บวชแล้วและได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แล้ว มาทำไมอีก ”

ผีนางขุ้ยในร่างของเณรตอบว่า “ ฉันไม่ไปก่อนละต้น เดี่ยวก่อนไปตามลูกฉันมาก่อน ยกเว้นเณรผินเพราะมันอยู่ไกล และขอให้หาหมอผีมาด้วย เพื่อมาไล่ผี เพราะเกรงว่า จะมีผีอื่นมาหลอกหลอนเอาได้ ” ( คำว่า “ ต้น ” เป็นคำที่ชาวปักษ์ใต้เรียก พระสงฆ์บวชใหม่หรือที่พรรษาน้อยทั่วไป ย่อมาจากคำไทยโบราณว่า “ ชีต้น ” ส่วนคำว่า “ เณร ” เป็นคำภาษาใต้ของไทย นอกจากจะหมายถึงสามเณรทั่วไปแล้ว ยังใช้เรียกทิดทุกคนว่า “ เณร ” อีกด้วย ดังนั้นคำว่า “ เณรผิน ” ในที่นี้จึงหมายถึงนายผิน ผู้เป็นลูกชายคนที่สองของนางขุ้ย ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดพัทลุงนั้นเอง )

ก็ในหมู่บ้านชะเเล้นั้นได้มีผู้ที่เข้าใจเรื่องการไล่ ผีอยู่คนหนึ่ง คือ นายเฉี้ยง และนายเฉี้ยงคนนี้ เป็นหลานของนางขุ้ยเองบ้านอยู่ใกล้วัดชะแล้ จึงได้ถูกเชิญมาได้สะดวก และผู้ที่มาในครั้งนี้ นอกจากนายเฉี้ยงแล้ว ก็มีคนใกล้เคียงมาดูเหตุการณ์ด้วยจำนวนหลายคน

นายเฉี้ยงเมื่อมาถึงก็พิจารณาดูแล้วรู้ว่า สามเณรถูกผีเข้าแน่ จึงถามขึ้นว่า “ ใครมาหยอกเณร ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่สุขเสียซิ อย่ามาพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับพระเณร ไป ไปเสีย ”

ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า “ อ๋อ เณรเฉี้ยง มึงอย่าไล่กู มึงเป็นลูกพี่สาวกู นี่สมบัติกูแบ่งปันให้ถูกต้องแล้ว ภายหลังน้อง ๓ คนมันมายักยอกเอาไป ไม่ให้หลานสาวมัน จะเอาแต่พวกมัน ๓ คน ไหน เณรส้องอยู่ไหน มาหรือเปล่า ( หมายถึงนายส้อง ลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย ) ”

นายเฉี้ยงตอบว่า “ นั่งอยู่ข้างนอก ” ( หมายถึงนั่งอยู่ข้างนอกห้อง )

“ บอกให้เข้ามา กูจะถามเณรส้องมัน ” ผีนางขุ้ยกล่าวขึ้น

เมื่อนายส้องเข้าไปในห้องแล้ว ผีนางขุ้ยในร่างของสามเณรก็พูดขึ้นว่า “ บ้านมึงมีอะไรดีนะ กูไปแล้วกูตั้งใจไปบ้านมึง ไปถึงแล้วได้แต่วนเวียนอยู่ที่ประตูบ้าน กูเข้าไปไม่ได้ ”

แล้วนายส้องจึงพูดขึ้นว่า “ แล้วทำไมแม่ไม่ไปพูดกับฉันล่ะ ”

“ ก็กูตั้งใจจะไปพูด กับมึงนั้นแหละลูก แต่กูเข้าไปไม่ได้มึงใจดำ นาแม่แบ่งไว้ถูกต้อง แต่สูไปแบ่งปันกันแต่พวกสู ” ผีนางขุ้ยพูด ( สู เป็นคำไทยเดิมซึ่งยังใช้กันพูดโดยทั่วไปในชนบทภาคใต้ )

นายส้องพูดว่า “ แม่อยากให้ลูกเกิดมามาก สมบัตินิดเดียวจึงปันกันไม่พอ ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นผีนางขุ้ยจึงพูดว่า “ กูปันให้แล้วลูก แต่พวกสูจะเอาเหลือ ( เอาเกิน ) สูจะเอาให้มาก เมื่อก่อนกูตาย ก็ได้ถามลูกๆกันทุกคน เห็นด้วยกันแล้ว ” แล้วจึงหันไปถามนายหิ้มพ่อของกุหลาบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า “ เณรหิ้ม มึงจะว่าอย่างไร ลูกมึงที่แม่พามาเลี้ยงไว้ไม่ได้สมบัติอะไรเลย ”

แต่นายหิ้มไม่ยอมตอบเลย คงจะพูดไม่ออกในฐานที่เป็นพี่ และกุหลาบก็เป็นลูกของตนด้วย แล้วผีนางขุ้ยจึงพูดว่า “ ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะไม่ไปไหน กูจะอยู่ที่นี่ ”

เมิอได้ฟังดังนั้น นายหิ้มจึงพูดขึ้นว่า “ แม่ไปอยู่ที่ที่สุขเถิดแม่ เขาค่อยแบ่งกันเอง อย่ามาเกี่ยวข้องอยู่เลย ”

ต่อจากนั้น นายเฉี้ยงได้พูดแทรกขึ้นว่า “ ถ้าไม่ไป จะเอาดินสอพองมาสัก มันเป็นผีอื่นมาแทรก ” ( การเอาดินสอพองมาสักหรือขีด เช่น สักหรือขีดรอบข้อมือข้อเท้าของคนที่ถูกผีเข้า พร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับลงไปด้วย เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอผีในการไล่ผี )

“ อย่าสักกูเลย เณรเฉี้ยง กูเป็นน้าสาวมึง มึงอย่าไล่กู ” พอพูดเพียงเท่านี้ผีนางขุ้ยก็ออกจากร่างของสามเณร แล้วสามเณรจีนก็ได้รู้สึกตัวทันที และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ

ในที่สุด ได้ทราบว่า ลูกๆของนางขุ้ยทั้ง ๓ คนที่ไม่ยอมก็ต้องแบ่งที่ดินอันเป็นส่วนของกุหลาบ ให้แก่กุหลาบไปตามคำสั่งของเเม่เพราะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองและบุคคลอื่นเป็นอันมาก ทั้งไม่ต้องการให้แม่ของตนซึ่งตายไปแล้วมีความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้ จะได้ไปเกิดในสุคติตามความปรารถนาของทุกคน

เรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์การตายแล้วเกิดใหม่ได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน

 

 
 

 

1 I 2 I 3 I 4 I 5 I 6 I 7 I 8 I 9 I 10 I 11