องค์ประกอบในการเกิดมนุษย์

ใน มหาตัณหาสังขยสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ

๑ . มาตา อุตุนี โหติ มารดามีระดู

๒ . มาตาปีตโร สนฺนิปติตา โหนฺติ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน

๓ . คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ มีสัตว์มาเกิด

( ม . มู ๑๒ / ๔๕๒ / ๔๘๗ )

 

เมื่อมีองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ครบถ้วนแล้ว การตั้งครรภ์ก็ย่อมมีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่พร้อมทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว การตั้งครรภ์ก็มีไม่ได้

คำว่า “ มารดามีระดู ” นั้น หมายถึงมารดามีไข่ และ ในขณะเดียวกันบิดาก็มีสเปอร์ม ทั้งไข่และสเปอร์มนี้ เป็นส่วนของรูป ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่

ส่วนข้อที่ว่า “ มีสัตว์มากเกิด ” นั้น หมายถึงมีจุติจิต หรือ จุติวิญญาณ เคลื่อนมาปฏิสนธิ จึงเกิดเป็นปฏิสนธิวิญญาณนี้เองเป็นจิตดวงแรกที่เกิดในชาติใหม่ และจัดเป็นส่วนนามที่สืบต่อมาจากภพชาติก่อน ๆ โดยนำเอาบุญ บาป กรรม กิเลสติดมาด้วย

ฉะนั้น เมื่อลก่าวโดยย่อแล้ว ผู้ที่เกิดมาก็มีแต่ นามกับรูป ๒ อย่างนี้เท่านั้น

ลำดับแห่งการพัฒนาการของทารกในครรภ์

ในอินทกสูตร ยักขสังยุต พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการก่อกำเนิดมนุษย์ที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจยิ่งกว่า

ปฐม ™ กลล ™ โหติ กลลา โหติ อพฺพุท ™

อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน

ฆนา ปสาขา ชายนติ เกสา โลมา นขาปี

ยญฺจสฺส ภุญฺชติ มาตา อนฺน ™ ปานญฺจ โภชน ™

เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตุกุจฺฉิคคฺโต นโรฺ

 

 

แปลความว่า

“ รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเกิดเป็นอัมพุทะจากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ปุ่ม ( ปัญจสาขา ) ต่อจากนั้นก็มีผม ขน และเล็บ ( เป็นต้น ) เกิดขึ้น มารดาของทารกในครรภ์นั้นบริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอันใดทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารนั้น ในครรภ์มารดานั้น ”

( ™ . . ๑๕ / ๘๐๓ / ๓๐๓ )

กลละนี้เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกายที่ก่อกำเนิดขึ้นมา อันเป็นกรรมพันธุ์ที่มาจากพ่อแม่โดยตรง ในอรรถกถาพระวินัย ๑ ท่านกล่าวถึงรูปลักษณะของกลละไว้ว่า “ กลลรูปของหญิงชายมีขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาที่ยกขึ้นมาด้วยปลายขนทรายข้างหนึ่ง ( ติดปลายขนทรายขึ้นมา ) ใสแจ๋ว ” ฉะนั้น กลละก็คือ Germ Cell ตามหลักชีววิทยานั่นเอง

ในอรรถกถาสารัตถัปปกาสินี ท่านอธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรข้างต้นนั้น โดยท่านกล่าวขยายความคาถาจากพระสูตรข้างต้นนั้นไว้ว่า

“ ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น เกิดเป็นกลลรูป คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา ในสัปดาห์ที่ ๒ หลักจากกลละรูป ได้เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น มีลักษณะเป็นฟอง สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลักจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนมีสัณฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ที่ ๕ หลักจากฆนรูป จึงได้เกิดปัญจสาขา คือ รูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ เป็นศีรษะ ๑ , มือ ๒ , เท้า ๒ ต่อจากนั้น คือ ในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น ”

( สารัตถัปปกาสินี ภาค ๑ หน้า ๓๕๑ - ๓๕๒ )

การที่พระพุทธเจ้าทรงทราบ ถึงการพัฒนาการของทารกที่อยู่ในครรภ์ อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่เป็น Germ Cell เป็นต่นมา จนถึงเป็นตัวทารกอย่างสมบูรณ์ นี้ก่อให้เกิดความทึ่งและความประหลาดใจให้แก่วงการแพทย์ในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อสมัยเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น ไม่มีเครื่องมือทันสมัย เช่น กล้องจุลทรรสน์ หรือ เอ็กซเรย์อันใดเลย แต่พระพุทธองค์ก็ทรงหยั่งทราบได้ชัดเจน เหมือนกับมีเครื่องมือเหล่านี้ และยังทรงรู้ซึ้งไปกว่านี้อีกมาก ข้อนี้เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์โดยแท้อันไม่ใช่วิสัยที่ใครอื่นจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง

 

 

 

 

 

 

 

อบาย

พระพุทธศาสนายืนยันว่า อบายนั้นมีอยู่จริง และคนที่ทำชั่วย่อมไปเกิดในอบายจริง ดังที่พุทธเจ้าตรัส ไว้ในอิติวุตตกะ ติกนิบาต แห่งคัมภีร์ขุททกนิกายว่า

ตโยเม ภิกฺขเว อคฺคี , กตเมตโย , ราคคฺคิ โทสคฺคิ . อิเมโข ภิกฺขเว ตโย อคฺคีติ .

ราคคฺคิ ทหติ มจฺเจ รตฺเต กาเมสุ มุจฉิเต

โทสคฺคิ ปน พฺยาปนฺเน นเร ปาณาติปาติโน

โมหคฺคิ ปน สมฺมุฬฺเห อริยธมฺเม อโกวิเท .

เอเต อคฺคี อชานนฺตา สกฺกายาภิรตา ปชา

เต วฑฺฒยนฺติ นิรย ™ ติรจฺฉานญฺจ โยนิโย

อสุร ปิตฺติวิสยญฺจ อมุตฺ ตา มารพนฺธนา

ความว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ กองนี้คือไฟคือราคะ๑ ไฟคือโทสะ๑

ไฟคือโมหะ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟ กองนี้แล ( ย่อมเผาผลาญสัตว์ทั้งหลาย ).

ไฟคือราคะ ย่อมเผาเผลาญทั้งหลาย ผู้กำหนัดแล้ว ผู้หมกมุ่นอยู่แล้วในกามทั้งหลาย แต่ไฟคือโทสะ ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย ผู้พยาบาท ซึ่งชอบฆ่าสัตว์ ส่วนไฟคือโมหะ ย่อมเผาผลาญนรชนทั้งหลาย ผู้หลงงมงาย ซึ่งไม่ฉลาดในอริยธรรม . ไฟทั้ง ๓ กองนี้ ย่อมเผาผลาญหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ ผู้ยินดียิ่งในกายของตน สัตว์เหล่านั้นพอกพูนนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย และปิตติวิสัยอยู่ ( ทำให้ผู้ที่เกิดในอบายทั้งสี่ให้มีปริมาณมากขึ้น จึงไม่พ้นจากบ่วงแห่งมาร ( กิเลส ) ไปได้ ”

( อิติ . ขุ . ๒๕ / ๒๗๓ / ๓๐๑ )

 

พระพุทธศาสนายืนยันว่าโลกหน้ามีจริง

ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องบุญ บาป เรื่องนรก สวรรค์ และไม่เชื่อเรื่อง โอปปาติกะกำเนิด เป็นต้น พระพุทธเจ้า ทรงถือว่าเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ดังข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน

อปัณณกสูตร คัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ว่า

“ สนฺต คหปติโย เอเต สมณพฺราหฺมณา เอว ™ วาทิโน เอว ™ ทิฏฐิโน . ( ๑ ) นตฺถิ ทินฺน ™ ( ๒ ) นตฺถิ ยิฏฺฐ ™ ( ๓ ) นตฺถ หุต ™ ( ๔ ) นตฺถิ สุกฏทุกฺกฏาน ™ กมฺมาน ™ ผล ™ วิปาโก ( ๕ ) นตฺถิ อย ™ โลโก ( ๖ ) นตฺถิ ปโร โลโก ( ๗ ) นตฺถิ มาตา ( ๘ ) นตฺถิ ปิตา ( ๙ ) นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา ( ๑๐ ) นตฺถิ โลเก สมณพฺราหมฺณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลก ™ ปรญฺจ โลก ™ สย ™ อภิญญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีตี ”

ความว่า “ ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณณ์บางพวกซึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ( ๑ ) การให้ทานไม่มีผล ( ๒ ) การบูชาไม่มีผล ( ๓ ) การเคารพบูชาไม่มีผล ( ๔ ) ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ( ๕ ) โลกนี้ไม่มี ( คือสัตว์จากโลกอื่นที่จะมาเกิดในโลกอื่นไม่มี ( ๖ ) โลกอื่นไม่มี ( คือสัตว์จากโลกนี้ที่จะไปเกิดในโลกอื่นไม่มี

( ๗ ) คุณมารดาไม่มี ( ๘ ) คุณบิดาไม่มี ( ๙ ) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี ( ๑๐ ) สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติชอบ ทราบชัดถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาได้เอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ด้วยไม่มี ( รวมเป็นมิฉาทิฏฐิ ๑๐ ประการ ) ”

พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า

“ สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ จะต้องเบื่อหน่ายในการประพฤติกุศลธรรม ๓ ประการ คือ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ( แต่ ) กลับไปยึดมั่นในการประพฤติอกุศลธรรม ๓ ประการ คือ กายทุกจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต เพราะเหตุที่ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่เห็นโทษของอกุศลธรรมและ ไม่เห็นอานิสงฆ์ของกุศลธรรมปรโลก ( โลกหน้า ) มีอยู่แท้ ๆ ( สนฺตเยว โข ปน ปร โลก ) เขากลับเห็นว่าไม่มี ความเห็นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ แต่เขากลับคิดว่าไม่มีความคิดของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ แต่เขา กลับพูดว่าไม่มี คำพูดของเขาจึงเป็นมิจฉาวาจา ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ เขากล่าวว่าไม่มี คนเช่นนี้ชื่อว่าคัดค้านต่อพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้กล่าวยืนยันว่าปรโลกมีอยู่ …”

( มม . ๑๓ / ๑๐๕ - ๑๐๖ / ๑๐๑ - ๑๐๒ )

 

ภพภูมิที่สัตว์โลกไปเกิด

ก่อนที่จะตอบว่า ตายแล้วไปไหน จะขอพูดเรื่องนรกสวรรค์ว่ามันอยู่ที่ไหน เพราะเมื่อตายแล้ว บางคนไปตกนรก บางคนไปเกิดในสวรรค์ เรื่องนรกสวรรค์อยู่ที่ไหนนี้ เป็นปัญหาทางปรัชญาที่ขบคิดกันมานานตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบันเช่นกัน แต่ทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ยุติแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เขาเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ยุติแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เขาเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว วางลงไปอย่างแน่นอนแล้วว่าคนเมื่อตายแล้วถ้ามีกิเลสก็ต้องเกิดอีก ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่เกิดอีกสำหรับผู้ที่หมดกิเลสนั้น หมดปัญหาไปแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีกิเลส ที่ตายแล้วต้องไปเกิดอีกนั้น จะไปเกิดที่ไหน ข้อนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่จะต้องชี้แจงให้เข้าใจ

ตามหลักพระพพุทธศาสนานั้ย ภพภูมิที่สัตว์โลกไปเกิด มี ๓๑ ภูมิ คือ

๑ ) สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ ชั้น เป็นสวรรค์ที่มี เพศหญิง เพศชาย ยังเสวยกามคุณอยู่ อันได้แก่ ชั้นจาตุมหาราช , ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา , ชั้นดุสิต , ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัดี

๒ ) ชั้นรูปพรหม ( พรหมที่มีรูป ) ๑๖ ชั้น

๓ ) ชั้นอรูปพรหม ( พรหมไม่มีรูป ) ๔ ชั้น

๔ ) อบายภูมิ ๔ คือ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน , ภูมิของเปรต อสุรกาย ( ผี ) และนรก

๕ ) มนุษย์โลก โลกมนุษย์

ในอบายภูมิทั้ง ๔ นั้น สัตว์ดิรัจฉาน เปรต และอสุรกายเกิดอยู่ในมนุษย์โลกนี้เอง ส่วนนรกและสวรรค์อยู่ที่ไหน เรื่องนี้เป็นปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจให้ชัด

 
 

 

1 I 2 I 3 I 4 I 5 I 6 I 7 I 8 I 9 I 10 I 11