สวรรค์และนรกอยู่ที่ไหน

ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นยืนยันว่า นรกสวรรค์นั้นทีแน่แต่จะอยู่ที่ใดนั้น ข้อนี้เป็นเรื่องที่นักปราชญ์ทั้งหลายอธิบายกันในหลายแง่มุม แต่ในที่นี้จะชี้ให้เห็นตามที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเราเชื่อถือกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน คือนรกสวรรค์มีอยู่ ๓ ประเภท คือ

๑ . สวรรค์ในอกนรกในใจ

๒ . สวรรค์และนรกในโลกมนุษย์

๓ . สวรรค์และนรกในโลกอื่น

. สวรรค์ในอกนรกในใจ คำว่า “ สวรรค์ ” หมายถึง ที่บันเทิง ที่ริ่นเริง มีความสุข ส่วน “ นรก ” หมายถึงที่ตกต่ำที่เสื่อมที่ไร้ความเจริญ มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อน ฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่เรามีความสุข มีความเบิกบานใน มีความสงบ มีความเยือกเย็นนั้นแหละคือสวรรค์ แต่เมื่อใดเราวุ่นวายจัด โกรธจัดหรือเดือดร้อนเพราะอำนาจของกิเลส เมื่อนั้นแหละไฟนรกคือกิเลส ก็เข้าไปจี้ใจเราให้เร่าร้อนกระวนกระวาย เพราะฉะนั้นบางคนตกนรกทั้งวัน เพราะจิตใจวุ่นวายเดือดร้อนตลอดเวลาเช่นบางคนโกรธจัด ก็ถูกไฟนรกคือความโกรธเผาไหม้ จนหน้าตาเหี่ยวแห้ง บางคนถึงกับเป็นโรคลำไส้ บางคนนอนไม่หลับเพราะไฟนรกเผาไหม้มาก บางคนเผาไหม้ตัวเองไม่พอ กลับไปเผาไหม้ผู้อื่นอีก แต่บางคนตกนรกไม่นาน คือโกรธคนอื่นไม่นานประเดี๋ยวก็หาย เพราะระงับหรือข่มไว้ได้ แต่บางคนใจดีมีเมตตาเข้ามาแทนที่ จึงทำให้พ้นจากนรกขึ้นสวรรค์ บางคนขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เป็นเวลานาน เป็นวันก็มี เช่นคนที่มีจิตใจสงบเบิกบานด้วยอำนาจจากประพฤติธรรม ดังนั้น ถ้าใครมีโลภ โกรธ หลง มากจนเร่าร้อนกระวนกระวาย นั้นแหละมีนรกในใจแล้ว ถ้าใครมีเมตตากรุณา มีจิตใจสงบเยือกเย็น นั้นแหละคือสวรรค์ ในวันหนึ่ง ๆ เราอาจตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ วันละหลาย ๆ ครั้งคนขึ้นสวรรค์เราก็เห็นได้แล้ว คนตกนรกเราก็เห็นได้แล้ว

๒ . สวรรค์และนรกในโลกมนุษย์ คนที่ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกก็ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ กรรมนี้เองเป็นตัวบันดาลให้เราไปเกิดในสวรรค์หรือนรก และในโลกนี้ก็มีสวรรค์และนรกซ้อนกันอยู่ คือใครก็ตาม ถ้าเกิดมายากจนข้นแค้น เดือดร้อน เช่น บางคนตาบอด บางคนหูหนวก บางคนอวัยวะพิการ หรือเกิดในแหล่งสลัม ในที่มีความทุกข์เดือดร้อน นั้นคือนรกของเขา เมื่อเกิดแล้วบางคนก็ไปติดคุกก็มีแดนต่าง ๆ เช่นแดนของนักโทษประหารแดนขังเดี่ยว แดนขังมืด นั้นคือนรกเป็นแดน ๆ บางคนตายอย่างทรมาน มีความทุกข์แสนสาหัส สภาพอย่างนี้คือนรกในโลกปัจจุบันเราเห็นกันอยู่ในโลกเรานี้

ส่วนสวรรค์ในโลกมนุษย์นั้นคือที่เช่นไร คือบางคนเกิดมามีแต่ความสุข เช่นเกิดมาเป็นลูกเศรษฐี เป็นใหญ่เป็นโต หรือ เป็นพระมหากษัตริย์ หรือเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย ร่างกายสวยงาม เครื่องบำรุงความสุข เช่นเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องใช้ก็มีมาก สติปัญญาก็เฉียบแหลม น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง แวดล้อม ไปด้วยญาติพี่น้องและบริวาร บ้านก็เหมือนกับวัง หรือเป็นปราสาทราชวังทีเดียว สภาพเช่นนี้คือสวรรค์ ผู้ที่เกิดมา เช่นนี้คือชาวสวรรค์ในโลกมนุษย์ ส่วนใจของเขาจะขึ้นสวรรค์หรือไม่ก็แล้วแต่ใจของเขา แต่เขาได้เกิดอยู่ในสวรรค์แล้ว และการที่เขาเกิดมาได้รับสิ่งเหล่านี้ก็เพราะบุญที่เขาทำไว้นั่นเอง

ท่านตอบว่า “ มองไม่ค่อยเห็นจะเห็นแต่เพียงราง ๆ “ ข้าพเจ้าเรียนถามท่านว่า “ ท่านพอจะนึกออกไหมว่า มันมีกรรมเก่าอะไรบ้างในชาตินี้ที่ทำให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้ ”

ท่านตอบว่า “ ผมนึกได้ ”

ข้าพเจ้าถามว่า “ ท่านทำอะไรผิด ”

ท่านตอบว่า “ ตอนผมเป็นเด็ก ๆ ผมจับตั๊กแตนได้ แล้วบีบตามันให้บุ๋มเข้าไปข้างในเบ้าตาของมัน แล้วก็ปล่อยให้มันบินไป มันก็บินไปชนอะไรต่ออะไร ทำความสนุกชอบใจให้แก่ผมมาก และผมได้บีบตาตั๊กแตนไปมากต่อมาก ส่วนแมลงปอนั้น ผมจะเด็ดหางมันออก แล้วใส่หญ้าเข้าไปในปลายหางของมัน แล้วปล่อยให้มันบินไปมองดูสนุก นี่แหละกรรมที่ผมทำไว้ ”

แล้วท่านพูดต่อไปว่า “ ก่อนที่ผมจะมาบวช ผมถูก ไม้ทิ่มตาข้างหนึ่งทำให้ตาข้างนั้นแตก เหลืออีกข้างที่ใช้การได้ก็มาเกิดเป็นต้อขึ้นมาอีก ”

อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่ากรรมทันตาเห็น กรรมนี้มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เป็นทั้งกรรมในอดีตและปัจจุบันที่เราทำไว้สลับซับซ้อนกันอยู่ ทำให้เราได้ผลของกรรมเหล่านั้น บางคนผ่าตัดแล้วผ่าตัดอีกหลายครั้งหลายหน บางคนถึงกับพิการ และบางคนถึงตายไปเลยก็มี คนป่วยบางคนเจ็บปวดมากและร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร ทั้งนี้เนื่องจากกรรมชั่วที่ตนทำไว้ ที่ชี้แจงมาให้เห็นนี้คือสวรรค์ในโลกมนุษย์

. สวรรค์และนรกในโลกอื่น ทางพระพุทธศาสนาถือว่า โลกนั้นไม่ใช่จะมีแต่เพียงโลกนี้เท่านั้น แต่ยังมีโลกอื่น ๆ อีกมาก คือยังมีดาวในกาแล็กซี่ (Galaxy) หรือในจักรวาลอื่น ๆ อีกมากมายเหลือจะคณานับ เช่นดังกล่าวไว้ในพระบาลี ในตอนท้ายของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า

“ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ

แปลว่า “ ( เมื่อพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมจักรจบลง ) หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือน หวั่นไหว ”

หลักทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า ยังมีดวงดาวในจักรวาลอื่น ๆ อีกมาก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพิ่มจะเห็น และก็ยังมีอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์ ยังค้นไปไม่ถึง แล้วเราจะยึดมั่นว่า “ ดาวดวงนี้เท่านั้นมีมนุษย์หรือสัตว์โลกอยู่ ดาวดวงอื่น ๆ ไม่มีสัตว์โลก ” เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ว่ามีหรือ ไม่มี จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดอย่างนั้น เพราะในดาวอื่น ๆ ถ้ามันมีอุณหภูมิหรือสิ่งต่าง ๆ เหมาะสมแล้ว ก็ต้องมีสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนโลกหรือบนดวงดาวเหล่านั้น

 

 

 

อาจารย์เสถียร โพธินันทะ อดีตอาจารย์ในสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญมากทางพระพุทธศาสนาผู้หนึ่ง และเป็นอาจารย์ของผู้เขียน ได้กล่าวไว้ว่า ” การหมุนรอบตัวเองของดวงดาวแต่ละดวงมีความเร็วไม่เหมือนกันถ้าหมุนช้าก็ทำให้วันคืนของดวงดาวนั้นช้า ถ้าหมุนเร็วก็ทำให้วันคืนของดวงดาวนั้นเร็วไปด้วย อย่างดาวพฤหัสหมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ ใช้เวลาถึง ๑ ปี ถ้าสัตว์โลกอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับ ๑ วันของดาวพฤหัสเท่านั้นเอง ดาวบางดวงอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงร้อนแรงมาก ถ้าสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับเกิดอยู่ในอเวจีมหานรก หรืดาวบางดวงอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก อากาศก็หนาวมาก สัตว์โลกที่เกิดในที่นั้นก็เหมือนเกิดในโลกันตริยนรก แล้วทำไมสัตว์นรกเหล่านั้นจึงไม่ตาย ทนอยู่ได้อย่างไร , ข้อนี้ก็เช่นเดียวกับหนอนเกิดในพริก มันไม่ตาย ก็เพราะกรรมเลี้ยงเอาไว้ให้มีชีวิตอยู่ได้ เป็นธรรมชาติของมันเอง ”

 

ปายาสิราชัญญสูตร

เพื่อจะอธิบายเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ และเรื่องนรกสวรรค์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะได้นำเอาข้อความในปายาสิราชัญญสูตร อันเป็นการ โต้ตอบปัญหาเรื่องนรกสวรรค์และวิญญาณกัน ระหว่าง พระกุมารกัสสปเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่มีความสามารถมากองค์หนึ่งในครั้งพุทธกาล กับ พระเจ้าปายาสิ ซึ่งเป็นเจ้า ครองนครที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ พระสูตรนี้ปรากฏอยู่คัมภีร์ ทีฆนิกาย มหาวรรค ใจความของพระสูตรนี้มีว่า

ในสมัยหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานไปแล้ว ไม่นาน เจ้าครองนครองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าปายาสิ เป็นผู้ครองเสตัพยนคร เจ้าครองนครผู้นี้มีความเชื่อมั่นว่า ตายแล้วสูญผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี พระองค์ได้เคยเสด็จ ไปโต้ตอบปัญหาเรื่องนี้กับสมณพราหมณ์ต่าง ๆ มากมากต่อมากแล้ว จนทำให้สมณพราหมณ์ทั้งหลายในสมัยนั้น เกิดครั่นคร้ามไม่อยากจะโต้ตอบด้วย เพราะพระองค์ทรงจัดเจนในการโต้คารมเป็นอย่างยิ่ง วัหนึ่ง พระกุมารกัสสปเถระ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากได้จาริกไปในแคว้นโกศล และได้แวะพักสั่งสอนประชาชนอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเสตัพยนคร มีประชาชนพากันไปฟังธรรมเป็นจำนวนมาก พระเจ้าปายาสิเมื่อทรงทราบเข้า เช่นนั้น จึงได้เสด็จไปโต้คารมในหัวข้อที่ว่า ตายแล้วเกิดหรือไม่

เมื่อพระกุมารกัสสปเถระให้โอกาสแล้ว พระเจ้าปายาสิ จึงได้ตรัวแสดงความเห็นของพระองค์ประเด็นแรกขึ้นว่า

“ มีแต่โลกนี้เท่านั้น โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี ”

พระเถระถามว่า “ ก็ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวดวงอื่น ที่เห็นอยู่ เป็นโลกนี้ หรือเป็นโลกอื่นเล่า ”

พระเจ้าปายาสิตรัสตอบว่า “ เป็นโลกอื่น ”

แล้วพระเถระจึงได้ตอบว่า “ เมื่อเห็นอยู่เช่นนี้ ไฉนจึงตรัสว่าโลกอื่นไม่มีเล่า ”

พระเจ้าปายาสิยังไม่ทรงเชื่อ แล้วตรัสต่อไปว่า “ ข้อนั้นจงยกไว้ก่อน , แต่มีปัญหาอยู่ว่า ถ้าโลกหน้ามีจริง ไฉนญาติมิตรของข้าพเจ้าทำกรรมชั่วเอาไว้ เมื่อเขาจวนจะตาย ข้าพเจ้าได้สั่งพวกเขาว่า ถ้าพวกท่านไปตกนรกแล้ว จงรีบกลับมาส่งข่าวให้ข้ารู้ด้วยว่า นรกมีจริงนะ แต่ข้าพเจ้าก็คอยปีแล้วปีเล่า ไม่เห็นมีผู้ใดมาส่งข่าวเลย นี้ก็แสดงว่านรกไม่มีอยู่จริง คนเราตายแล้วก็สูญเท่านั้น ”

พระเถระยกอุปมาเปรียบเทียบแถลงให้ทรงฟังว่า “ เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดถูกตำรวจจับได้ แล้วนำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรนั้นจะขอร้องผ่อนผันต่อเจ้าหน้าที่ขอให้ผล่อยเขาไปบกพวกพ้องเสียก่อนจะได้หรือไม่ ”

ตรัสตอบว่า “ ไม่ได้ ”

พระเถระก็กล่าวว่า “ อุปมานี้ฉันใด สัตว์ ? ที่ตกนรกแล้วก็เหมือนกันถูกความทุกข์ในนรกแผดเผาอยู่ และย่อมไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาล ให้กลับมาเล่าให้พระองค์ทรงทราบได้เลย ”

พระเจ้าปายาสิยังไม่ทรงเชื่อ ตรัสต่อไปว่า “ มีปัญหาอยู่ว่าสมณพราหมณ์ที่ประพฤติสุจริต บำเพ็ญความดี เมื่อท่านเหล่านั้นจวนจะตายข้าพเจ้าได้สั่งไว้ว่า ถ้าท่านไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์แล้ว จงกลับมาบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยว่า สวรรค์มีจริง แต่ก็คอยกันเป็นปี ๆ หามีใครมากบอกไม่ นี้ก็แสดงสวรรค์ไม่มีอยู่จริง คนเราตายแล้วก็สูญเท่านั้น ”

พระเถระยกอุปมาเปรียบเทียบให้ทรงทราบอีกว่า “ เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่งตกจมลงไปในหลุมอุจจาระจนมิดศีรษะ แล้วมีผู้ช่วยให้พ้นขึ้นมาได้ ให้อาบน้ำชำระกายให้สะอาดแล้วให้เสวยกามสุขอยู่บนปราสาท อยากถามว่าบุรุษผู้นั้นยังจะพอใจตกลงไปในหลุมคูณนั้นหรือไม่ ”

 
 

 

1 I 2 I 3 I 4 I 5 I 6 I 7 I 8 I 9 I 10 I 11