ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือ พี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง

เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี เรื่องการจดจำสิ่งของได้ ของเด็กชายวิชรัตนี มีอยู่เรื่องหนึ่งควรจะเล่าก่อนจบ คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว นายรัตรัน ฮามี ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากไว้กับน้า ดูเป็นลางชอบกล เมื่อนายรัตรันตายแล้ว น้าก็เอาเข็มขัดหนังนั้นให้แก่บุตรชายของตัวใช้คาดเอว พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖ - ๗ ขวบ พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ว่าเป็นของตัวเอง

เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร . สตีเวนสันว่าความจำชีวิตในชาติก่อน ของเขาแม้เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จะเลือนลางไปบ้างแต่เขาจดจำเรื่องราว ในชีวิตสุดท้ายก่อนของเขา ได้ชัดเจนกว่าชีวิตในปัจจุบันของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นเสียอีก

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรายงายผลการวิจัย เกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของ ดร . สตีเวนสัน ผู้ที่สนใจในด้านการวิจัย สรุปผลในการระลุกชาติได้ จากหลายชีวิตมาเสนอท่าผู้อ่าน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง

 

 

การระลึกชาติ *

ของ

. . ชนัย ชูมาลัยวงศ์

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ ๗๔๒๓ วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ . ศ ๒๕๒๑ ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติได้รายใหม่อายุเพียง ๓ ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูกอยู่ ๔ คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก ๓ ขวบทักทายว่า จำได้ไหม แล้วเล่าความหลังให้ฟัง

เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้องคือ ด . ช . ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋วยนี้อายุ ๑๐ ขวบ ( พ . ศ ๒๕๒๑ ) บุตรของนายเบิ้มหรือคำรณ นางสมคิด อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๙ หมู่ที่ ๑ กิ่งอำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อ มีอาชีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่บ้านเลขที่ ๒๐ ซอยโลหิตสุข ถนนดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท กทม . แต่ ด . ช ชนัย อาศัยอยู่กัยยายที่พิจิตร ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ๖๗ ปี พักอยู่ที่ ๖๐๘ หมูที่ ๑ ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ร . ร . วัดเขาทราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

 

 

นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ว่า มารู้ว่า

ด . ช . ชนัย ระลึกชาติได้ ก้เพราะ ด . ช . ชนัยได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครู ชื่อ “ บัวไข หล่อนาค ” สอนประจำอยู่ที่ โรงเรียนท่าบ่อ ตำบลบางหว้า อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้น ด . ช . ชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมี พ่อชื่อ นาย เขียน แม่ชื่อ นางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อ นางสวน มีลูกกับนางสวน ๕ คนด้วยกัน เป็นหญิงสาม ชายสอง คนโตชื่อ น . ส . บรรจง หรือติ๋ม คนที่สองชื่อ น . ส . เบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่ สามชื่อ นายณรงค์ คนที่ สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น . ส . น้ำค้าง

ด . ช . ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือนายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อน ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาของตนในชาติก่อน คือ นางสวน ได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ น . ส . น้ำค้างได้ ๓ เดือน นายบัวไขได้ขี่จักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียนได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงข้างหลัง ซึ่งแผลเป็นรอยกระสุนยังติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยถูกยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก

ฝ่ายผู้เป็นยายคือ นางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชาย วัย ๓ ขวบ

ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ด . ช . ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจาก ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน ไปที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของ นางสวนภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันจึงได้เล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของ นางสวน เชื่อสนิทว่า ด . ช . ชนัย ชูมาลัยวงศ์ คือ นายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้ ด . ช ชนัย ยังสอบถามนางสวนว่าของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด . ช . ชนัย หมายถึงปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงกับ ตะลึง

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐรายงานว่า เมื่อ ด . ช . ชนัยได้พบหน้ากับ จ . ส . ต สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส . ภ . อ . เมืองพิจิตร ซึ่งเดิมจ . ส . ต . สนานเป็นเพื่อนสนิทกับนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด . ช ชนัยก็เอ่ยปากทักว่า

“ เฮ้ย หนานยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไขเพื่อนเก่าของ

นายไงล่ะ ”

จ . ส . ต . สนานถึงกับตะลึงงันไป เช่นกัน นึกไม่ถึงว่า เด็กอายุ ๓ ขวบ จะ

เป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน ด . ช . ชนัยก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด . ช . ชนัย ก็บอกว่า

“ ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม ”

ซึ่งทุกคนยอมรับว่า นายบัวไข เมื่อชาติก่อน ชอบอาหารเช่นนั้นจริง ๆ

และแม้แต่ในชาตินี้ ด . ช . ชนัยก็ยังชอบอาหารชนิดนี้นอกจากนี้ จ . ส . ต สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวชองนางสวนทุกคนรวมทั้งลูก ๆ ของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า ด . ช . ชนัยผู้นี้ คือ พ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด . ช . ชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด . ช . ชนัย ซึ่งปัจจุบันอายุ สิบขวบในทำนองกระเซ้าว่า

“ ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด . ช . ชนัยจะว่ายังไง ”

ด . ช . ชนัย ไม่ตอบ แต่แสดงอาการ หึงหวงอย่างเห็นได้ชัด และไม่พอใจ

ต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้

เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้มีโอกาสไปสอบสวน

พบปะกับครอบครัวของ ด . ช . ชนัย ชูมาลัยวงศ์ ทั้งในปัจจุบันและในในชาติก่อนด้วยตนเองก็ดี แต่บังเอิญมีสมาชิกของชมรมกฏแห่งกรรม คือ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ผู้จัดการ

สหธนาคาร จำกัด สาขาจังหวัดชลบุรี และคุณสงบ แจ่มพัฒน์ หรือ “ อนามิส ” แห่งหนังสือ รายสัปดาห์ ‘ บางกอก ” ทั้งสองท่านนี้ได้เดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยรถยนต์ส่วนตัว ของคุณประสิทธ์พร้อมด้วยคนขับ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ . ศ . ๒๕๒๑ ได้ไปพบนางพรม เบ็ญทอง ยาย และ ด . ช ชนัย พบพ่อ แม่ นายเขียนและนางยวง และภรรยา - นางสวนและลูก ๆ ในชาติก่อนได้สัมภาษณ์อย่างละเอียดลออได้ความตรงกัน และ ยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมยืนยันอีกหลายอย่าง แสดงว่า ด . ช . ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นเป็นคุณครูบัวไข หล่อนาค มาเกิดใหม่แน่นอน

ต่อไปนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจ ที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้ไปสัมภาษณ์ ยาย , พ่อ , แม่ และภรรยาในชาติก่อนมาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย

ตอนที่ นางพรม เบ็ญทอง - ยาย ได้พาเด็กชาย ชนัย ไปพบ พ่อ - แม่ ใน

ชาติก่อน ด . ช ชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้าน ซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็ก ๆ ด . ช . ชนัยก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่ง และหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็รองไห้ พูดว่า

“ พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่มาก ”

ชายหญิง มีอายุทั้งสองที่เด็กอ้าง ว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน ก็ตะลึงงง

และสงสัย เพราะจู่ ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบแล้วร้องไห้เรียก พ่อแม่ ทั้งที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคนทำไมเด็กอายุแค่นั้น ( ๓ ขวบ ) จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่มาแต่ก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไขลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็นแผลเป็นเหมือนครูบัวไขลูกชาย ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ

ตอนที่ยายได้พา ด . ช . ชนัย ไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า

“ เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่าชื่ออะไร

“ ด . ช . ชนัยก็หันไปหันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า ”

“ ชื่อสวนนะซิ ”

เสียงพึมพำเกิดขึ้น ต่างก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง ต่อมา แม่เขาก็

นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า

“ อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยังจำได้ไหมหยิบให้แม่ดูซิ ” เด็กก็หยิบดูแล้วว่า “ นี่ก็ของผม นี่ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม '

เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้าน แล้วก็ชี้ว่า

“ อ้ายตรงนี้ของ ๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน หนังสือของผมตั้งอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด ”

เมียในชาติก่อนเขาก็ตอบว่า “ เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้

ประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป ”

เมื่อ ด . ช . ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า

“ เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ ”

ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า

“ แล้วอะไรของลูกที่นึกออกว่ายังมีอะไรบ้าง ”

เด็กก็บอกว่า “ พระของผมยังมีอีกพวงหนึ่ง ”

แม่ถามว่า “ พระของลูกมีอยู่กี่องค์ ”

เด็กบอกว่า “ พระของผมมีอยู่ ๓ องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา ”

 
 

 

1 I 2 I 3 I 4 I 5 I 6 I 7 I 8 I 9 I 10 I 11