ภาคที่สอง
ข้อพิสูจน์ ๗ ประการ
เรื่อง
ตายแล้วเกิดใหม่
ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่
ในเรื่องตายแล้วเกิดใหม่นี้ ผู้เขียนมีข้อพิสูจน์อยู่ ๗ อย่างว่าตายแล้วเกิดจริง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่จริงในปัจจุบัน โดยไม่ต้องอ้างคัมภีร์หรือตำรา หรือโดยไม่ต้องอ้างว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ตรัสไว้อย่างนี้ แต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลตามความเป็นจริงได้เพราะการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่าง ๆ ที่ยืนยันไว้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นเป็นกฏของธรรมชาติของมัน เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามกฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็มีอยู่แล้วอย่างนี้ หรือพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นแล้วก็ได้ตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิด เท่าที่ค้นพบและมีหลักฐานยืนยันให้เชื่อถือได้ในปัจจุบัน มีอยู่ ๗ อย่าง คือ
๑ . คนระลึกชาติได้ ซึ่งข้อพิสูจน์นี้มีตัวอย่างนับเป็นพัน ๆ เรื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
๒ . คนผีเข้า ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากในปัจจุบันถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร
๓ . เทวดาเข้าทรง มีเรื่งเทวดาที่มาปรากฏแก่คนอยู่มากในปัจจุบัน และที่เข้าทรงในมนุษย์ก็มีอยู่มาก อันเป็นเตรื่องยืนยันว่า โอปปาติกะกำเนิด อันอยู่ในภพภูมิหรือสวรรค์นั้นมีจริง
๔ . การสะกดจิต ข้อนี้ในวงการแพทย์ปัจจุบันใช้กันมากถ้าจิตหรือวิญญาณไม่มีแล้ว จะมีการสะกดจิตได้อย่างไร
๕ . การสะกดจิตย้อนภพ ซึ่งกรณีเช่นนี้ค้นพบครั้งแรก ในสหรัฐอเมริกา ทำให้สืบประวัติย้อนหลังไปถึงชาติก่อนได้เป็นอย่างดี
๖ . เด็กอัจฉริยะ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เด็กที่อายุยังน้อย สามารถแต่งกาพย์ กลอน หรือเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างน่าพิศวง และบางคนก็สามารถพูด ภาษาอันตนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน หรือเรียนมาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่มีความสามารถเหนือเด็กทั่วไปในวัยเดีบวกันเป็นอย่างมากในเรื่องนั้น ๆ อันแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ตนได้เคยเรียนมาแล้วเมื่อชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาติใหม่ จึงมีความสามารถติดมาอย่างอัศจรรย์
๗ . เด็กฝาแฝด คือเด็กฝาแฝดนั้น แม้จะเกิดมาเหมือนกันทั้งด้านร่างกาย กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม แต่คู่แฝดมักจะมีอุปนิสัยใจคอ ความเฉลียวฉลาด และชะตาชีวิตแตกต่างกันอันแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเกิดมาแล้วในชาติก่อน ได้เคยสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ผลที่แสดงออกมาในชาตินี้จึงไม่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่มีกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน
เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้นำเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันมาแสดงใว้เท่าที่สามารถรวบรวมมาได้ ขอให้ท่านผู้สนใจได้อ่านพร้อมด้วยการใช้วิจารณญาณประกอบ ดังต่อไปนี้
การระลึกชาติได้
เรื่องนี้ มาจากการสอบถาม และสอบสวนความเป็นมา โดย ดร . สตีเวนสัน เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา การระลึกชาตินี้เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งนามว่า เอช เอ
วิชรัตนี เกิดที่ตำบล อุคคัลโตตะ ลังกา เมื่อวันที่๑๗ มกราคม พ . ศ ๒๔๙๐ เป็นบุตรของนายเอชเอ ติเลรัตนี ฮามี และนางรัตรัน ฮามี
ตั้งแต่แรกกำเนิด ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่งและนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือทุก ๆ นิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้ นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว เป็นว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ดร . สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ . ศ ๒๕๐๔ เด็ฏชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปีแล้ว รอยแผลเป็นที่อกข้างขวา และมือขวาพอการของ
นายวิชรัตนี นี้ มีมูลเหตุดังจะได้เล่าต่อไปนี้
พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๒ ขวบเศษเดินได้ ก็มักจะพูดกับตัวเองบ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตุก็ฟังดู ได้ยินเสียงบ่นว่าแขนขวาพิการก็ เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เลย จึงได้ถามสามีดู
นายเอช เอ ติเลรัตนี จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อนเรื่องนาย รัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปี พ . ศ ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้ นายติรัตนี เล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ว่าน้องชายมาเด็กเป็นลูก เพราะสังเกตุเห็นว่าเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนาย รัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่น ๆ นั้นผิวค่อนข้างขาว แต่นางไม่สนใจ มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อนจึงได้ถามสามีขึ้น ภริยานายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องน้องชายสามีฆ่าคน และถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ . ศ ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘ - ๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อนเลย
เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบความทราบถึงพระภิกษุอนันท์เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญา วิทยาลัยลังกาปริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี
พ . ศ ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อย ๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง
ได้กล่าวแล้วว่า ดร . สตีเวนสัน ได้สอบถามเรื่องนี้ เมื่อปี พ . ศ ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี ชื่อนายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลคัลโตตะ มีภริยาแล้ว ภรรยาตาย ตกเป็นพุ่มม่าย เด็กชายวิชรัตนี จำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้
ต่อมา เขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับ หญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ โพธิมณิเก อยู่
ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว แล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้
เด็กชาย วิชรัตนี บอกกับบิดา ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง
ความจริงจะใช้คำว่า ภรรยาไม่ถูกนัก เพราะพิธีแต่งงาน ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว
ใกล้จะถึงเวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว อ้อนวอนให้เจ้าสาว
ไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมจะไปอยู่ที่บ้านของตน
เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพัน เป็นชายอยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อโมหัตติ ฮามี และสงสัยว่าชายผุ้นี้คงยุแหย่ ไม่ให้นางไปอยุ่กับเขา
เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่หางประมาณ ๘ กิโลเมตร มาถึงบ้าน เขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านนาง
เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู
ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาว เขายังขอยืมเงินพี่ชาย จำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้
สร้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป มาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เองเจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนืออกข้างขวา เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย
ในการต่อสู้คดี เขาสู้ว่า ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสุ้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวเป้นผู้จับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย
ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า เขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึง
เข้าตีเขา
ศาลรับฟังฝ่ายโจทย์ พิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกัน
พอศาลพิพากษาแล้ว นายติเลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายของเขา เขาบอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติเลรัตนี บอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย
เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น ด . ช วิชรัตนี บอกว่า ตอนนั้นเคืองมาก อด
ใจใว้ไม่ไหว ไม่คิดเลยถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร . สตีเวนสันว่า ที่ถูกแขวนคอนั้น ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป เป็นการถูกต้องแล้ว
เด็กเล่าว่า ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขาคือ นาย เอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า มีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ รูป ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาบอกกับพี่ชายว่า เขาจะกลับมาเกิดอีก เด็กบอก ดร . สตีเวนสันว่า เขาพูดกับพี่ชายว่า จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่
ตอนถูกประหารชีวิต เด็กเล่าดังนี้
ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า มีการชั่งตวงกระสอบทราย ณ ที่
ตะแลงแกง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง ก่อนประหารชีวิต ๑ วันจะต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือก และความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีเอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน
ก่อนการแขวนคอ มีพระภิษุ ๑ รูปมาภาวนาให้เขาก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าดำมาครอบศรีษะตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง |